บางอย่างเขาเถียงกันมาตั้งแต่เทวดา พรหม ลงมาถึงมนุษย์ เป็นพัน ๆ ปีก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ อย่างเช่นมงคลสูตร จนพระพุทธเจ้าต้องมาตัดสินให้
ในเรื่องหลักของการปฏิบัติก็เหมือนกัน เราปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น สิ่งใดก็ตามที่ไม่ได้เอื้อต่อความหลุดพ้นท่านเรียกว่า ธรรมที่เนิ่นช้า คือทำให้เราช้าลง เสียเวลาเปล่า ๆ มัวแต่ไปวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ เกิดกิเลสมาก็ยิ่งร้อยรัดทำให้เราติดหนักเข้าไปอีก
บรรดาศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ ในสมัยก่อน มีอยู่ ๖๒ สำนัก แต่ละสำนักล้วนแล้วแต่มีลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมือง อย่างเช่น ปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาละ สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครนถนาฏบุตร เป็นต้น
ตอนแรกอาตมาก็ว่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้สอนคนให้หลงผิดชัด ๆ แล้วทำไมคนถึงได้เชื่อขนาดนั้น ปรากฏว่าพอไปศึกษาในพรหมชาลสูตรแล้วถึงได้รู้
๑๘ สำนักแรกเขาจัดอยู่ในพวกปุพพันตกัปปิกทิฐิ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ระลึกชาติย้อนหลังได้ตั้งแต่ ๑ แสนชาติ ๑ กัป ๑๐ กัป ๒๐ กัป ๓๐ กัป ๔๐ กัป ท่านก็เลยยืนยันว่าเรื่องของการเกิดการตายนั้นมี คนที่เก่งถึงขนาดระลึกชาติได้ ความสามารถเรื่องอื่นก็เป็นเรื่องเล็กแล้ว คนจึงให้ความเคารพนับถือท่านมาก
อีก ๔๔ สำนักเป็นพวกอปรันตกัปปิกทิฐิ เป็นพวกเห็นอนาคต ถึงได้บัญญัติทิฐิของท่านขึ้นมา บางคนก็บอกว่าตายแล้วไม่สูญ บางคนก็บอกว่าตายแล้วสูญ บางคนก็บอกว่าสูญบ้างไม่สูญบ้าง แล้วแต่ว่าเขาเห็นไปถึงรูปพรหมหรืออรูปพรหม บางคนก็เคยเกิดทั้งรูปพรหมอรูปพรหมก็เหมาว่าสูญบ้างไม่สูญบ้าง ยุ่งไปหมด ดังนั้น..สมัยก่อนจริง ๆ แล้วคนเขามีความสามารถ ในเมื่อเขามีความสามารถถึงได้มีคนตามเชื่อศรัทธากันจนขนาดนั้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2012 เมื่อ 14:08
|