ขอให้ทุกคนทราบว่า สภาพจิตของเราแต่เดิมผ่องใสอยู่แล้ว ต่ำที่สุดจะอยู่ในระดับฌานที่สอง แต่เนื่องจากว่า กิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรมต่าง ๆ ที่ประกอบเป็น รัก โลภ โกรธ หลง พอกพูนหนาขึ้น..หนาขึ้น จิตเราก็สูญเสียความผ่องใสไป
เราจึงต้องหมั่นขยันขัดถูอยู่เสมอ เพื่อสร้างความผ่องใสให้เกิดขึ้นกับจิต เมื่อจิตผ่องใสแล้ว ก็ให้รักษาไว้ ระมัดระวังประคับประคองไว้ อย่าให้หลุดจากความผ่องใสนั้น เพราะว่านั่นเป็นสิ่งที่จะนำเราไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น นำเราให้หลุดพ้นจากโลกนี้ได้ นำให้เราหลุดพ้นจากการเวียนตายเวียนเกิดในทะเลทุกข์นี้ได้
ถ้าหากว่าจิตของเราเศร้าหมอง ให้รู้เถิดว่าเราเสียท่ากิเลสแล้ว ถ้ายิ่งเราประคับประคองกำลังใจให้ผ่องใสมาเป็นเวลาห้าวัน สิบวัน ครึ่งเดือน เดือนหนึ่ง สองเดือน สามเดือน หรือเป็นปี แล้วอยู่ ๆ กำลังใจเศร้าหมองลงไป จะน่าเสียดายขนาดไหน ?
ดังนั้น..เรามีหน้าที่จะต้องรักษาใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา รักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ถ้าเรารู้จักทำอย่างนี้ รู้จักสังเกตอารมณ์ใจอย่างนี้ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะมี
แต่ถ้าเรารักษาอารมณ์ใจไม่เป็น สังเกตอารมณ์ใจไม่เป็น วิเคราะห์วิจัยหาเหตุหาผลของอารมณ์ใจไม่ได้ เราก็จะต้องทำแบบมวยวัด เหวี่ยงเปะปะอยู่เรื่อย โอกาสที่จะได้ผลก็ช้า ถ้าหากว่าพลาด ใจเศร้าหมอง เกิดต้องลงอบายภูมิไป ก็เป็นเรื่องที่สุดแสนจะน่าเสียดาย
วันนี้ก็ขอฝากเอาไว้ว่า ให้กลับไปย้อนทบทวนดูว่า เมื่อวานนี้ อารมณ์ใจของเราตอนที่ดีนั้นดีอย่างไร ? ตอนที่เสียนั้น..เสียอย่างไร ? มีสาเหตุจากอะไร ? เราคิด เราพูด เราทำอะไร ถึงดี..เราคิด เราพูด เราทำอะไรถึงเสีย
เมื่อวิเคราะห์หาเหตุเจอแล้ว ต่อไปอะไรดีเราก็สร้างเหตุอันนั้น อะไรเสียเราก็ระมัดระวังอย่าให้เหตุนั้นเกิด* เราก็จะรักษาอารมณ์ใจของเราไว้ได้ เอาเท่านี้แหละ คนอยู่กันมาก ไปช่วยกันทำครัวดีกว่า
-----------------------------------
*สังวรปธาน(เพียรปิดกั้นบาปอกุศลไม่ให้เกิดขึ้น) ภาวนาปธาน(เพียรสร้างกุศลให้เกิดขึ้น) จาก องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๖๙/๙๖ ; ๑๔/๒๐; ๑๓/๑๙
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-02-2012 เมื่อ 17:18
|