วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒
วันนี้รู้สึกตัวตื่นตามเวลาเดิมคือ ๔.๐๐ น.เช้าตรู่เช่นเคย ตั้งหน้าตั้งตาคลานไปด้วยความนอบน้อมไปที่หน้าโต๊ะหมู่บูชา กราบพระรัตนตรัย แล้วก็นั่งสมาธิ
เรื่องการตื่นตอนตีสี่นี้ เคยทดสอบกับตัวเองหลายครั้งว่าทำไมมันถึงแม่นยำ
(มีน้องบางคนพูดว่า "นาฬิกาที่บ้านพี่มันไปตายตรงตีสี่หรือเปล่าครับ พี่เลยตื่นมาเจอนาฬิกาไปหยุดตรงตีสี่" แทบจะเอาหน้าแข้งไปกระทบหน้าน้องคนนั้นเล่น ทำร้ายจิตใจกันเกินไป) มาตื่นเอาตอนตีสี่ทุกครั้ง ครั้งแรก ๆ ได้ยินเป็นเสียงระฆังดังอยู่ในหู ครั้งอื่น ๆ ร่างกายมันดีดตัวลุกขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ แรก ๆ ก็ยังไม่เชื่อเท่าไหร่ ก่อนนอนก็ตั้งจิตว่าลูกขอ"แบบจะจะ" บางทีลูกชายละเมอเหมือนมีคนมาชวนให้เขาเล่นด้วย แต่ลูกชายของผมเขาจะนอนเหมือนทะเลาะกัน จนผมตื่น พอโผล่หน้ามามองนาฬิกา ๔.๐๐ น. และมีบางช่วงเหมือนกันที่ทำงานหนักจนร่างกายมันไม่ไหว จิตมันตื่นแต่ร่างกายตื่นไม่ไหวก็มีครับ
"จิตมีสภาพจำ" พระอาจารย์ท่านมักกล่าวเสมอ
เช้าวันนี้ทางวัดฉลอง นัดตอนแปดโมงเช้า เพื่อเข้ารายงานตัวส่งเอกสาร และรับ"ฉายาพระ"นับเป็นวันที่สำคัญที่สุดวันหนึ่งในชีวิต เมื่อคืนก่อนนอนก็เจริญสตินั่งสมาธิ ไล่"กามาวจรสวรรค์" เมื่อไปถึงพระนิพพานกราบพระรัตนตรัยโดยมีสมเด็จองค์ปฐมท่านทรงเป็นประธาน อธิษฐานขอพรพระองค์ท่านว่า "ขอให้ฉายาในการบรรพชาอุปสมบท ขอพระองค์ท่านทรงเป็นผู้ประทานฉายาให้เหมาะสมกับข้าพระพุทธเจ้า และขอให้เจริญรุ่งเรืองดังฉายาที่พระองค์ประทานในทางธรรมและทางโลกให้ด้วยเทอญ พระพุทธเจ้าข้า"