เรื่องกำแพงชีวิต
หลวงพ่อสอนว่า คนเราเกิดมาก็คล้ายถูกขังอยู่ในคุกมีกำแพง ๔ ด้านคือ
๑.ทุกข์ถึงชีวิต ทุกรูปทุกนามกลัวความตาย เป็นห่วงชีวิต ทำให้เกิดความทุกข์ ทุกข์ถึงชีวิตคือกำแพงด้านหน้า ทางที่จะพ้นทุกข์ด้านนี้ได้ก็คือ อุทิศชีวิตของตนให้แก่พระพุทธศาสนา จะตายเมื่อไรก็ไม่ว่า ตั้งหน้าทำแต่ความดีเพื่อเป็นที่พึ่งของสัตว์ เมื่ออุทิศชีวิตเสียได้แล้ว ก็เท่ากับควักเอาดวงใจไปฝากไว้กับพระพุทธเจ้า ตัวของเราจะไม่รู้จักความตาย จะไม่ต้องทุกข์ถึงความตาย ตายเมื่อไรก็เท่ากับสังขารแตกดับไปเท่านั้น ไม่มีความตายสำหรับเรา
๒.ทุกข์ถึงทรัพย์ ที่ได้รับมรดก และสะสมแสวงหามาได้ กลัวว่าจะชำรุดสูญหาย กลัวจะไม่คืน คงไม่มากมูล กลัวว่าเมื่อตายไปจะตกเป็นของคนอื่น ทรัพย์ของเราเป็นมารทำลายใจเรา เหมือนห่วงผูกเท้าไว้ เป็นกำแพงกั้นกักขังตัวเราเองให้ไปไม่พ้น ดิ้นไม่หลุด และเป็นทุกข์เหมือนกำแพงด้านหลัง ทางที่จะทำลายคุกด้านนี้คือไม่โลภ ไม่ตระหนี่ ไม่สะสม
๓.ทุกข์ถึงลูก คนเราเมื่อมีลูก เป็นพ่อเป็นแม่เขา ก็เท่ากับได้สร้างกรรมสร้างห่วงไว้ผูกคอตัวเอง สร้างกำแพงไว้ขังตัวเองอีกด้านหนึ่ง คือกำแพงด้านขวา กักขังตัวเราเองไว้ให้หนีไม่พ้น ไปไหนไม่รอด เป็นทุกข์ประการที่ ๓ ทางที่จะทำลายกำแพงด้านนี้ ก็คือฝึกฝนอบรมลูกให้เป็นคนดี มีวิชา ทำมาหากินได้ จะได้หมดห่วง
๔.ทุกข์ถึงภรรยาหรือสามี เมื่อมีคู่ครอง แม้จะมีบุตรหรือไม่มี ก็เป็นทุกข์ เป็นห่วง คิดว่าตัวเป็นเจ้าของ กลัวเขาจะป่วยจะไข้ กลัวเขาจะตายจากไป กลัวเขาจะคบชู้มีคู่ใหม่ ทุกข์เหมือนห่วงผูกข้อมือไว้ หรือเหมือนกำแพงคุกด้านซ้าย ทางที่จะทำลายกำแพงด้านนี้ก็คือ คิดว่าแม้แต่ตัวเราเองก็ยังพึ่งพาตัวเองไม่ได้ จะเจ็บจะป่วยไข้จะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ ไม่สามารถจะช่วยชีวิตตนเองได้ จะไปห่วงชีวิตคนอื่นเกินไป ไม่สามารถจะทำอะไรได้"
นี่คือคำสอนเรื่องกำแพงคุกของชีวิต จะเห็นว่าเป็นคำสอนง่าย ๆ แต่ฟังแล้วก็เห็นจริง น่าฟังและน่าคิด นี่แหละคือตัวอย่างคำสอนของหลวงพ่อ
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 01-06-2009 เมื่อ 02:13
|