เรื่องของครูบาอาจารย์ ผมเสียดายแทนพวกท่าน ยุคของผมนี่ ท่านอยู่กันมากชนิดที่แทบจะเดินชนกันเลย ผมเองมีโอกาสได้ปรนนิบัติรับใช้อยู่หลายองค์ มีบางองค์ก็ได้ปรนนิบัติจนวาระสุดท้าย อย่างหลวงปู่ครูบาธรรมชัย* หลวงปู่มหาอำพัน แม้กระทั่งหลวงปู่สาย** ของเรา มรณภาพแล้วผมยังได้ไปช่วยเปลี่ยนผ้าครอง ได้จัดงานศพถวายท่าน มาสมัยนี้ครูบาอาจารย์ที่ทรงความดีขนาดนั้น ส่วนใหญ่ท่านจะอยู่ในป่า
ก่อนนั้นเป็นยุคของพระที่ท่านอยู่ในเมือง มายุคนี้พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบส่วนใหญ่อยู่ในป่า เพราะรู้ว่าถ้าอยู่ในเมืองนี่แย่แน่ ถึงเวลาคนเขามาตอมไม่เลิก ดูอย่างเมื่อวานเป็นไร ไล่แล้วไล่อีก เป็นชั่วโมงกว่าจะไป เทียวไปเทียวมา เวียนอยู่ได้เจ็ดรอบแปดรอบ
คือการที่เขายึด ถ้ายึดในด้านดีก็ถือว่า เอาละ..อย่างน้อยเบื้องต้นเขาก็ใช้ได้อยู่ แต่ว่าต้องการจะสอนเขาให้รู้ว่า การที่วางนั้นวางอย่างไร ถึงเวลามาลาแล้ว เออ..กลับไปเถอะ.. คือ ไม่จำเป็นที่จะต้องมาอาลัยอาวรณ์ แสดงตัวอย่างให้เห็น ๆ
แต่ว่ายิ่งแสดงให้เขาเห็นมาก เขายิ่งอาลัยอาวรณ์มากเข้าไปใหญ่ เดินวนเข้าไปเถอะ คนโน้นมาที คนนี้มาที ผลัดกันไปผลัดกันมา ไม่รู้จักแล้วจักเลิก ยิ่งคนมากเท่าไร เวลาความเป็นส่วนตัวของเราก็น้อยลงเท่านั้น
ถ้าอาการเจ็บป่วยเวทนาเกิดขึ้นกับร่างกาย แล้วต้องไปฝืนนั่งรับเขาอีก ผมเองก็อธิบายให้ฟังไม่ได้ ว่าทรมานขนาดไหน แต่ว่ามีอยู่ท่านหนึ่งก็คือ สามเณรกิตติวงษ์*** สามเณรเป็นคนที่มีจริยาดีมาก แต่มาผิดเวลาทุกที
ถ้าหากว่าเป็นอย่างพวกคุณนี่โดนผมเตะแน่ ๆ เพราะว่าเวลาเจ็บป่วย ถ้าเราทำงานอื่นไปด้วย ไม่ไปนึกถึงก็ไม่เป็นไร แต่สามเณรมาถึงก็ “ดูสีหน้าพระอาจารย์ไม่ค่อยดีเลยนะครับ อาการเวทนาเป็นอย่างไรบ้างครับ..?”
ถามให้ต้องคิดถึงทำไม ? คิดเมื่อไรก็โอ๊ยเมื่อนั้นแหละ คือมารยาทดี แต่ควรจะถามให้ถูกจังหวะ ถ้าถามผิดจังหวะ ก็เหมือนคนกำลังคลานอยู่ แล้วมาถามว่า เป็นอย่างไร ? คลานแล้วสนุกไหม ? อะไรทำนองนี้ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้บางทีพูดไปก็เข้าใจนิดเดียว ถ้าโดนเองเมื่อไรจึงจะเข้าใจจริง ๆ
หมายเหตุ :
* พระครูวรเวทย์วิสิฐ(กองแก้ว ธมฺมชโย) วัดทุ่งหลวง หมู่ที่ ๗ ตำบลแม่แตง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
** พระครูสุวรรณเสลาภรณ์(สาย อคฺควฺโส) วัดท่าขนุน หมู่ที่ ๑ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
*** สามเณรกิตติวงษ์ ปิ่นประดับ วัดประยุรวงศาวาส ถนนประชาธิปก แขวงกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ๑๐-๖๐๐
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-02-2012 เมื่อ 10:03
|