ถ้าหากว่าเราใช้กองกรรมฐานที่เป็นกรรมฐานคู่ศึกต่อ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ได้ แค่เพิ่มปัญญาไปตอนท้ายเท่านั้นเราก็จะเห็นว่า สภาพร่างกายนี้หาความดีไม่ได้ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ ท้ายสุดก็เสื่อมสลายตายพังไป ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายเป็นเราเขาได้เลย
เมื่อเห็นชัดเจนดังนี้ เราก็จะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หมดความอยากที่จะเกิดมามีร่างกายนี้ หมดความอยากที่จะเกิดมาในโลกนี้ เราก็ยกจิตเกาะพระนิพพานไว้เป็นปกติ หรือเกาะภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เป็นปกติ
กำหนดใจคิดว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ใดนอกจากพระนิพพาน เรากำหนดนึกถึงพระองค์ท่านก็คือเราอยู่กับพระองค์ท่าน เราอยู่กับพระองค์ท่านก็คือเราอยู่บนพระนิพพาน เมื่อใจสุดท้ายเกาะพระนิพพานแล้ว ก็ให้ทุกคนพิจารณาดูลมหายใจของตน ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ก็กำหนดรู้ลมหายใจควบกับภาพพระ หรือภาพพระนิพพานของเรา ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ก็ใช้คำภาวนาควบไป ถ้าไม่มีลมหายใจไม่มีคำภาวนา ก็เอาใจจดจ่ออยู่กับภาพพระหรือพระนิพพานของเรา จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๕
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-03-2012 เมื่อ 09:32
|