"ตอนช่วงนั้นศาลา ๒ ไร่ยังไม่มี หลวงพ่อท่านกำลังดำเนินการติดต่อขอซื้อที่ชาวบ้าน แต่ชาวบ้านใกล้วัดมักจะมองว่าหลวงพ่อรวย แล้วก็ขายที่ให้แพงกว่าปกติหลายเท่า หลวงพ่อก็เลยต้องให้คนในพื้นที่ไปถามซื้อ พอซื้อเสร็จแล้วค่อยโอนมาเป็นชื่อวัด
บริเวณศาลา ๒, ๓, ๔ ไร่ , ปราสาททองคำ ตลอดถึงธุดงค์ ๑๐๐ ไร่ ก่อนหน้านี้ยังเป็นท้องนา จะมีต้นไม้หลัก ๆ ก็คือทองกวาว ทองกวาวทางอีสานเขาเรียกดอกจาน จะเป็นโคกเป็นคันนาแล้วก็มีทองกวาวขึ้น
ส่วนที่เป็นท้องนาก็น่าเวทนาเหลือเกิน ปลูกข้าวงามเต็มที่สูงแค่คืบกว่า ๆ ถามเขาว่าได้ข้าวประมาณเท่าไร เขาบอกว่าไร่หนึ่งประมาณ ๑๐-๑๕ ปีบ เวรกรรม..ของที่อื่นอย่างไม่มี ๆ ก็ ๘๐ ถัง หลวงพ่อบอกที่เขาหากินไม่ขึ้นเพราะเป็นที่วัดเก่า ถ้าใครอยากจะทำกินขึ้นให้ชำระหนี้สงฆ์เสียก่อน ท่านอุตส่าห์ไปขอซื้อคืนเขายังจะขายแพง ๆ อีก
สมัยแรก ๆ ศาลา ๑๒ ไร่ยังไม่มี ที่ตั้งพระชำระหนี้สงฆ์ก็ยังไม่มี ทางด้านหลังวัดก็จะมีหลวงตาวัชรชัยเดินบิณฑบาตประจำ บางวันถ้าท่านติดภาระอย่างอื่น พวกอาตมาก็จะแทรกไปแทนบ้าง พอเดินพ้นเขตท้ายวัด ก็คือป้อมยามที่อยู่ติดกับหอสูบน้ำที่อยู่มุมศาลา ๑๒ ไร่ จะมีเครื่องสูบน้ำอยู่เครื่องหนึ่ง ตรงนั้นจะเป็นจุดสุดเขตวัด แล้วตรงที่ตั้งศาลา ๑๒ ไร่ก็ยังเป็นท้องนา
พอนึกถึงภาพเก่า ๆ แล้ว เทียบกับสมัยนี้ที่เจริญขึ้นจนกระทั่งคนรุ่นใหม่นึกไม่ออกว่าสมัยนั้นเป็นอย่างไร แถวศาลา ๓ ไร่ จนต่อมาถึงถนนเป็นดงไผ่หนามทั้งดง ระยะหลังหลวงพ่อท่านทำตรงพื้นที่ต่อศาลา ๓ ไร่ออกมาเป็นสวนไผ่ ต้นไผ่นั่นก็คือไผ่ดั้งเดิมเลย ถ้าไม่ขึ้นใหม่ก็แปลว่าหมด ท่านก็อุตส่าห์เว้นช่องให้ขึ้นได้
อาตมาก็ปีนตามช่องนั่นแหละมุดลงข้างใต้ ไปอยู่กับพวกจระเข้น้อย พวกงูเหลือม เขาอาศัยอยู่ในนั้นเยอะแยะ อาตมาไปฝึกกรรมฐาน ข้างใต้นั้นยกพื้นอยู่จึงเดินจงกรมได้สบาย พอถึงเวลาเดินจงกรมแล้วก็เข้าที่ภาวนา จะมีอยู่ ๓ - ๔ ท่านที่ไปอย่างนั้นประจำ มีอาตมา ท่านชาติชาย หลวงพี่ไพบูลย์"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-03-2012 เมื่อ 02:56
|