เมื่อสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นของแถมในการปฏิบัติปรากฏขึ้นแก่พวกเรา จึงต้องใช้สติสัมปชัญญะและใช้ปัญญา ในการพิจารณากำหนดรู้อยู่เสมอ ถ้าหากว่าเอาความปลอดภัยเลยก็คือ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น ไม่ไปใส่ใจ
แต่ถ้าต้องการรู้เห็นหรือไปใส่ใจ ก็ต้องมีสติยั้งคิดอยู่เสมอว่า สิ่งเหล่านี้ช่วยในการบรรเทา รัก โลภ โกรธ หลง จากใจเราได้หรือไม่ ? ช่วยในการตัดรากเหง้าของกิเลสทั้งหลายเหล่านี้ให้เบาบาง หรือหมดไปจากใจของเราได้หรือไม่ ? ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะเป็นคนที่โดนหลอกให้หลงทางไปเรื่อย โดยเฉพาะตัวทิฐิมานะ ในลักษณะว่า "กูเห็น กูจึงเชื่อ"
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะยิ่งพาให้เราหลงทาง หาทางกลับไม่เจอ เนื่องจากว่าเมื่อผู้รู้ท่านเตือน เรากลับไปเถียง ไปคัดค้านว่าเราเห็นด้วยตัวเอง ในเมื่อเราเห็นเอง เราจึงไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นอย่างนั้น ก็ยากที่จะมีคนเปลี่ยนทิฐิของเราได้ ทำให้เราหลงทางไกลออกไปเรื่อย ๆ และท้ายที่สุดเมื่อตายไปก็เข้าไม่ถึงประโยชน์อย่างแท้จริง ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด อยู่กับความทุกข์ไม่รู้จบกันต่อไปอีก
ดังนั้น..สิ่งที่เกิดขึ้นกับญาติโยมที่มาถามปัญหาในวันนี้ จึงควรเป็นตัวอย่างให้พวกเราได้สังวรระวังเอาไว้ ว่าการปฏิบัติธรรมนั้น การรู้เห็นต่าง ๆ เป็นเพียงของแถมเท่านั้น เป้าหมายหลักของเราก็คือปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น เราต้องมีสติตามดูตามรู้อยู่เสมอ ว่าเราปฏิบัติแล้วได้เกิดสันตุฏฐิตา คือความสันโดษ ยินดีตามมีตามได้หรือเปล่า ? สัลเลขตา มีความขัดเกลาตนเองทั้งกาย วาจา ใจ ให้ดีขึ้นตามลำดับหรือเปล่า? อัปปิจฉตา เป็นผู้มักน้อยลงหรือไม่? ปวิเวกตา เป็นผู้ยินดีในที่สงัด หลีกออกจากหมู่หรือไม่ ?
ทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเรารู้จักคิด รู้จักพิจารณา รู้จักกำหนดรู้ตามไป เราก็จะไม่พลาดท่าให้โดนหลอกจนหลงทาง มิฉะนั้นแล้ว หลายต่อหลายคนเมื่อพบเห็นเพื่อนฝูงสหธรรมิก ก็เอาแต่ฟุ้งซ่านกล่าวถึงเรื่องผลของการปฏิบัติต่าง ๆ ซึ่งยังไม่ใช่ของจริงแท้ของเราให้เพื่อนฝูงฟัง เอามาถกเถียงกันบ้าง เอามาบอกกล่าวจนคนอื่นเขาเลื่อมใสแล้วหลงตามไปบ้าง กลายเป็นเอาทิฐิคือความเห็นของตน ไปปนกับธรรมะของพระพุทธเจ้า กลายเป็นสัทธรรมปฏิรูป ถ้าหากว่ามีคนเชื่อแล้วยึดตาม ก็กลายเป็นมิจฉาทิฐิ ย่อมเกิดโทษใหญ่แก่ตนเองได้