แต่ว่าความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าทรงฝากพระพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัททั้งสี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ถ้าหากว่าเราแยกแยะดูจะเห็นว่า พุทธบริษัททั้งสี่นั้น จะมีอนาคาริกะ คือผู้ที่ไม่ครองเรือน ได้แก่ ภิกษุ และภิกษุณี กับอาคาริกะ คือผู้ครองเรือน ได้แก่ อุบาสกและอุบาสิกา
ผู้ครองเรือนอย่างอุบาสก อุบาสิกา โอกาสที่จะปฏิบัติธรรมเต็มที่ก็ไม่ได้ เพราะว่าติดการทำมาหากิน จึงเป็นหน้าที่ของอนาคาริกะ ผู้ไม่ครองเรือนอย่างภิกษุหรือภิกษุณี ที่จะต้องเร่งขวนขวายปฏิบัติให้เต็มที่ เข้าถึงธรรมให้ได้ โดยได้รับการสนับสนุนในเรื่องปัจจัยสี่จากอุบาสกและอุบาสิกา เมื่อเข้าถึงธรรมแล้วก็ย้อนกลับมา นำเอาสิ่งที่ตนปฏิบัติด้วยตัวเองแล้ว นำมาบอกกล่าวสั่งสอนแก่อุบาสกและอุบาสิกา เพื่อให้เข้าถึงธรรมให้ได้ง่ายที่สุด ก็คือง่ายกว่าที่อุบาสกและอุบาสิกาจะไปปฏิบัติด้วยตนเอง เนื่องจากว่าบุคคลที่ปฏิบัติด้วยตนเองแล้วได้ผล ถึงเวลาบอกทางก็จะบอกง่าย
เมื่อเป็นดังนั้นเรื่องของพุทธบริษัททั้งสี่จึงเป็นเรื่องของการเกื้อกูลกัน ถ้าต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ ก็แปลว่าพระพุทธศาสนาจะเป็นไปด้วยดี มีความเจริญรุ่งเรือง คราวนี้ตามที่ท่านเจ้าคุณพระศรีคัมภีรญานท่านบอกว่า ฆราวาสเขาเปิดบ้าน เขาเป็นเจ้าสำนัก เขามีลูกศิษย์เยอะแยะไปหมด แล้วต่อไปพระจะทำอะไร ? คงต้องหุงข้าวเลี้ยงโยมสินะ จะได้ทำหน้าที่สลับกัน ในจุดนี้จะว่าไปแล้วก็คือว่า ความเข้มแข็งของอุบาสกอุบาสิกามีมากขึ้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2012 เมื่อ 10:15
|