ดังนั้น..ที่ผมเคี่ยวเข็ญพวกคุณอยู่ ก็เพราะต้องการให้กลับไปสู่ร่องรอยเดิม ๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงวางเอาไว้ ว่าแต่ละคนให้การสนับสนุน ให้การสงเคราะห์เกื้อกูลซึ่งกันและกัน สมัยก่อนไม่ว่าพระจะไปที่ไหนก็ตาม ถึงเวลาเจ้าถิ่นจะปฏิสันถารให้การต้อนรับอย่างดี แต่สมัยนี้ต่อให้มีหนังสือรับรองไป บางทีเขาก็ปฏิเสธไม่รับเข้าพัก กลายเป็นว่าคนละวัดก็เป็นคนละพวกไป
พวกเราต้องเปลี่ยนทัศนะคติใหม่ มีอะไรต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพราะเราเป็นลูกพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ถ้าปฏิบัติตามธรรมวินัยแล้วไม่ต้องห่วง คนเลวอยู่ไม่ได้หรอก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า พระธรรมวินัยนี้เหมือนกับคลื่นทะเล ย่อมซัดสิ่งโสโครกขึ้นสู่ฝั่งเสมอ ก็แปลว่าพวกที่เลว ๆ อยู่ด้วยไม่ได้หรอก เดี๋ยวก็ต้องสึกหาลาเพศไปหมด ถ้าหากว่าเราเปลี่ยนทัศนคติตรงจุดนี้ได้ ต่อไปไม่ว่าใครทำอะไรที่ไหน เราก็ยินดี เต็มใจช่วยเหลือตามกำลังของเรา ถ้าเราสนับสนุนกันอย่างนี้ ศาสนาพุทธของเราก็จะเจริญรุ่งเรืองมาก
วิหารทองคำที่อินเดีย หรือพระราชวังโปตาลาที่หลังคาหุ้มด้วยทองคำ ถ้าคนไทยทำจะหุ้มทองคำทั้งหลังก็ยังไหว ไม่หุ้มแต่เฉพาะหลังคา แต่ที่เราทำอย่างนี้ไม่ได้เพราะไม่มีการสนับสนุนช่วยเหลือกัน ต่างคนต่างทำ เพราะไม่มีเครือข่ายโยงใยในลักษณะต่อสายถึงกัน ถึงเวลาต่างคนต่างทำ จึงกลายเป็นว่าทำอะไรไม่ค่อยได้มาก
อย่างวัดท่าขนุนนี้ตั้งแต่สมัยท่านอาจารย์สมพงษ์เป็นเจ้าอาวาสอยู่ พอผมเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ วัดท่าขนุนถวายกฐิน ๔ วัด ถึงเวลารับกฐินพร้อมกัน วัดใหญ่วัดเล็กรับมา แบ่ง ๔ ส่วนเท่า ๆ กัน ผมทำอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ ซึ่งญาติโยมเห็นก็ยินดีด้วย เพราะเขาทำบุญครั้งเดียวได้ถึง ๔ วัดเลย แม้ว่าปัจจัยจะลดน้อยลง เพราะว่าต้องแบ่งเป็น ๔ ส่วน แต่อย่างน้อย ๆ วัดเล็กที่ได้ครั้งละหนึ่งหมื่นสองหมื่น ก็ได้เป็นสองแสนสามแสน ไม่มีลักลั่นไม่มีมากน้อยกว่ากัน ถ้าหากเราทำอย่างนี้ก็เกิดความยุติธรรม ทุกคนต้องรู้ว่าเราต้องทำหน้าที่ให้เต็มที่ เพราะถึงเวลาแล้วผลตอบแทนจะดี นี่คือสิ่งที่อยากบอกพวกเราในวันนี้
สอนนาค ณ ศาลาวัดท่าขนุน
คืนวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๒
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-10-2012 เมื่อ 13:57
|