จะเป็นพระหรือไม่เป็นพระ..อยู่ที่ศีล ไม่ใช่ว่าไปถึงระดับศีลรักษาตนได้แล้วไปประมาท อย่างไรก็ต้องระมัดระวังกันสุดชีวิต
แม้กระทั่งพระอรหันต์อย่างท่านมหากัปปินนะ ถึงเวลาลงฟังพระปาติโมกข์ ท่านคิดว่าเราเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ต้องไปฟังพระปาติโมกข์ก็ได้ พระพุทธเจ้าทรงทราบความคิด จึงเปล่งฉัพพรรณรังสีเสมือนพระองค์ท่านปรากฏเฉพาะหน้า ตรัสว่า “ดูก่อน..กัปปินนะ หากพระทุกรูปคิดอย่างเธอ ศาสนานี้จะตั้งอยู่ไม่ได้”
เราจะเห็นว่า แม้พระอรหันต์ที่เป็นปาปมุติ คือบุคคลที่เป็นพ้นจากบาปโดยสิ้นเชิงแล้ว ในส่วนที่เป็นจริยาเล็กน้อย ๆ พระพุทธเจ้าท่านยกให้ไม่ถือสาแล้ว ถือว่าเป็นสติวินัย คือผู้ที่ทรงสติอย่างสมบูรณ์แล้ว ทำอะไรก็มีแต่กิริยา มายาไม่มี เมื่อมีแต่กิริยา กรรมก็ไม่ปรากฏแล้ว แต่ท่านก็ไม่ละเมิดศีลใหญ่ เพราะการละเมิลศีลใหญ่ อาจจะเป็นตัวอย่างให้คนอื่นเลียนแบบและทำตาม
ดังนั้น..จะเห็นว่าบุคคลที่เป็นพระหรือไม่เป็นพระ ต้องดูเรื่องศีลให้เป็นปกติ ขยับตัวเมื่อไรต้องรู้ว่าศีลจะขาดหรือไม่
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2013 เมื่อ 17:29
|