พระอาจารย์กล่าวว่า "บางทีอาตมาก็เป็นห่วงญาติโยมที่มีจิตศรัทธา เพราะหลายแห่งเขาไม่ได้ประคับประคองศรัทธาของโยม แต่อยู่ในลักษณะกอบโกยเอา พอเขารู้ว่าโยมสามารถทำบุญมาก ๆ ได้ ก็ตามจิกตามกัดไม่ยอมปล่อยเลย
อาตมาเตือนโยมหลายครั้งด้วยกันแล้วว่า ถ้ามีฐานะพอที่จะทำบุญได้โดยตัวเองไม่เดือดร้อน อย่าไปเผลอทิ้งเบอร์โทรศัพท์หรือที่อยู่ไว้กับวัดไหน เขาตามยันบ้านจริง ๆ..! จะว่าไปแล้วท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็ทำถูก เพราะคำว่า "ภิกขุ" หนึ่งในความหมายนั้นแปลว่า ผู้ขอ เขาขอกันแหลกเลย ขอยันบ้าน ไม่ได้ไม่เลิก จนกระทั่งหลายต่อหลายท่านต้องทำบุญแบบซื้อรำคาญ ก็คือให้ ๆ ไปจะได้ไปให้พ้นหน้า แต่เขาก็ไม่เลิก งานหน้าก็มาใหม่
ในเรื่องของการทำบุญ บางคนช่วงนั้นเกิดปีติขึ้นมา ทำบุญเท่าไรก็ไม่สมกับความปีติของตน แบบเดียวกับจูเฬกสาฎก มีผ้าห่มผืนเดียวถวายพระพุทธเจ้าไป พระเจ้าปเสนทิโกศลพอทราบก็ให้ผ้าจูเฬกสาฎกไปคู่หนึ่ง จูเฬกสาฎกก็ถวายไปเสียทั้งคู่ พอได้มา ๒ คู่ก็ถวายหมด ๔ คู่ก็ถวายหมด เพราะกำลังปีติอยู่
ก็เลยทำให้ญาติโยมหลายท่านที่ทำบุญจนตัวเองเดือดร้อนเพราะกำลังปีติอยู่ กลายเป็นเขาขอเท่าไรก็ให้ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ จะว่าไปแล้วสำคัญที่นักบวชของเรา พระพุทธเจ้าท่านเตือนนักเตือนหนาว่า นักบวชควรทำตัวเหมือนผึ้ง นำน้ำหวานไปจากดอกไม้ ก็อย่าทำให้กลีบดอกไม้นั้นต้องชอกช้ำ เพราะส่วนใหญ่แล้วจะไม่คิดถึงเรื่องนี้ คิดว่าโกยให้ได้มากที่สุด ก็คือความสำเร็จของตน
เวลาโยมมาทำบุญที่นี่อาตมาจะรู้สึกชอบใจมากกว่า มาทีหนึ่ง ๒๐ บาท ๕๐ บาท ๑๐๐ บาท บางคนที่ดูหน้าก็รู้ว่าถ้าไม่ใช่ยังเรียนไม่จบก็เพิ่งจบมาทำงานใหม่ ๆ ควักเงินมาทำบุญ ๑,๐๐๐ บาท ๒,๐๐๐ บาท อาตมาถามว่าต้องใช้อย่างอื่นหรือเปล่า ? เขาก็งง..ถ้าเพิ่งจะทำงานเงินเดือนจะสักเท่าไร ควักทีหนึ่งขนาดนั้นแล้วจะเหลือชนเดือนไหม ?"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2013 เมื่อ 12:44
|