ในส่วนของขณิกสมาธินั้น จะขอเว้นไว้ไม่กล่าวถึง เพราะว่าพวกเราทุกคนล้วนแล้วแต่กระทำได้ทั้งสิ้น จะมากล่าวถึงในส่วนของอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ ซึ่งสมาธินั้นในระดับขั้นต้น จะต้องดูองค์ประกอบ ๕ อย่าง คือ วิตก ความคิดนึกตรึกอยู่ว่าเราจะภาวนา วิจาร อารมณ์ที่ตามดูตามรู้ว่าตอนนี้ลมหายใจของเราเข้า ลมหายใจของเราออก จะแรงจะเบา จะยาวจะสั้น ก็รู้อยู่ ใช้คำภาวนาอย่างไรก็รู้อยู่
ปีติ เกิดอาการต่าง ๆ ๕ ประการ ประการใดประการหนึ่งขึ้น ก็คือ ขณิกาปีติ รู้สึกขนลุกเป็นพัก ๆ ขุททกาปีติ มีน้ำตาไหล โอกกันติกาปีติ ร่างกายโยกไปโยกมา หรือว่าดิ้นตึงตังโครมครามเหมือนปลุกพระ อุเพ็งคาปีติ ร่างกายลอยขึ้นพ้นพื้น บางทีก็ลอยไปไกล ๆ ถ้าสมาธิจะเริ่มคลายตัวเมื่อไร ก็จะลอยกลับมายังที่เดิม ลงนั่งในท่าเดิมตั้งแต่ต้นทุกประการ และผรณาปีติ มีความรู้สึกซาบซ่าน บางทีก็รู้สึกว่าตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวรั่วเป็นรู มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ไหลออกจากร่างกายมามากมาย บางทีก็รู้สึกว่าร่างกายแตกระเบิดกลายเป็นผงไปเลยก็มี นี่ก็คือส่วนประกอบส่วนหนึ่งของสมาธิภาวนา ถ้าหากมาถึงระดับนี้สภาพจิตของท่านจะเป็นอุปจารสมาธิแล้ว
ลำดับต่อไปก็คือสุข เมื่อสมาธิทรงตัวแนบแน่นขึ้น รัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นกองไฟแผดเผาเราอยู่ตลอดเวลา โดนอำนาจของสมาธิกดดับลง เราจะรู้สึกว่าความสุข สงบเยือกเย็น อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน ได้มีขึ้นในใจของเรา หลายท่านเข้าใจผิดว่าบรรลุธรรมแล้ว ซึ่งความจริงยังเข้าไม่ถึงอัปปนาสมาธิขั้นแรกเลย อัปปนาสมาธิต้องมีองค์ประกอบสุดท้ายคือ เอกัคตารมณ์ เอกัคตารมณ์นั้น คืออารมณ์ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว จดจ่อแน่วแน่อยู่กับการตามดูตามรู้ลมหายใจและคำภาวนาของตน
ถ้าเรามีองค์ประกอบครบทั้ง ๕ ประการคือ วิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคตารมณ์ แปลว่า อารมณ์ของเราก้าวเข้าสู่ระดับอัปปนาสมาธิขั้นต้น คือ ปฐมฌานแล้ว บุคคลที่ก้าวเข้ามาถึงระดับนี้ มีสิทธิ์ทรงความเป็นพระโสดาบันได้อย่างสมบูรณ์ แต่ต้องใช้ปัญญาประกอบด้วย
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-07-2012 เมื่อ 02:58
|