ทีนี้วิธีเป่ายันต์ ท่านเป่าทีละศาลา คือ นั่งกันเต็มศาลาแล้วท่านให้จุดธูปเทียนบูชารับศีลแล้วก็ภาวนา ว่า "พุทโธ" ท่านที่นั่งภาวนาบางคนมีอาการหนักศีรษะบ้าง เหมือนไรไต่อยู่ที่ศีรษะบ้าง มีอาการร้อนหู ร้อนหน้าบ้าง อย่างนี้เรียกว่า ยันต์เกราะเพชรเข้าถึงตัว อาการอย่างนี้จะทรงอยู่ ๒-๓ วัน ก็จะหาย ทั้งนี้เพราะยันต์เกราะเพชรจะค่อย ๆ ซึมเข้าไปทีละนิด จนกระทั่งทั่วร่างกาย แล้วอาการนี้จึงจะหาย
ถ้าหากว่ายันต์เกราะเพชรยังไหลไม่ทั่วร่างกายเพียงใด ความรู้สึกหนัก หรือร้อนหน้าร้อนตา หรือคล้ายไรไต่ตามหน้าตาก็จะยังปรากฏอยู่
การเป่ายันต์เกราะเพชรแต่ละคราว ต้องเป่าเฉพาะวันเสาร์ ๕ คือ วันเสาร์ตรงกับวันขึ้น ๕ ค่ำ จะเป็นเดือนอะไรก็ได้
การเป่ายันต์์เกราะเพชรของท่านไม่มีค่าครู ไม่มีค่าวิชา ไม่มีค่าป่วยการ คือ หลวงพ่อทำอะไรทุกอย่างไม่หวังผลตอบแทน ทำเพื่อเมตตาสาธารณประโยชน์ โดยเฉพาะวันเป่ายันต์เกราะเพชรของท่านถือเป็น วันไหว้ครู ซึ่งบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายจะต้องมาพร้อมกันเวลาในเพล ก่อนเพล หรือหลังเที่ยง ตั้งแต่เช้าประมาณ ๒ โมงเช้า จะรวบรวมสรรพสิ่งทั้งหลายที่บรรดาศิษยานุศิษย์นำมาเป็นการคารวะครูแล้วก็ทำพิธีไหว้ครูเสร็จภายในเพล
ตอนนั้นใครจะลงตะกรุดพิสมร ผ้ายันต์ ก็เขียนเอาไป ใครชอบใจยันต์อะไร ชอบตะกรุดอะไรก็เขียนลงไป เอาไปวางในสถานที่ท่านไหว้ครู
เมื่ออัญเชิญครูเสร็จ ท่านก็จะปลุกเสกของเหล่านั้นเสร็จไปด้วยกัน แล้วต่างคนต่างนำกลับ อันนี้ก็ไม่มีค่าครูเหมือนกัน ไม่มีค่าป่วยการ
บรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลายท่านก็ไม่บังคับว่าใครจะมาหรือไม่มา มาแล้วจะนำของอะไรมา หรืือไม่นำมาท่านไม่บังคับ สิ่งของสิ่งใดจำเป็นในการไหว้ครู ท่านจะนำทำของท่านเสร็จครบถ้วนบริบูรณ์ ถือว่าเป็นกิจของท่าน ถ้าบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลายจะร่วมในการไหว้ครูก็เป็นสิทธิของศิษย์ที่มีคารวะในครูบาอาจารย์
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 14-07-2011 เมื่อ 09:17
|