ถาม : เมื่อวานผมมีโอกาสได้ไปฟังเทศน์หลวงพ่อองค์หนึ่ง ผมเห็นว่าการปฏิบัติสายท่านเน้นสมถะอย่างเดียว ท่านยังเน้นว่า พระพุทธเจ้าท่านนอกจากชาติสุดท้ายแล้ว ท่านไม่เคยวิปัสสนาเลย เรารู้สึกว่าแปลกใหม่ ท่านบอกว่า ถ้าเราคิดว่าเราไม่ถึงชาตินี้ เราก็ทำสมถะไปอย่างเดียวก่อน ?
ตอบ : จริง ๆ การทำสมถะ ถ้าทำไปถูกทางจริง ๆ ก็เกิดปัญญา แต่ถ้าไปเพลิดเพลินอยู่ ก็จะติดอยู่แค่นั้น ตัวปัญญาจะไม่เกิด
สำคัญว่าเรามีสติระลึกรู้อยู่แค่ไหนว่า ตอนนี้เราทำอะไร เพื่ออะไร ถ้าเราทำเพื่อความอยู่สุขปัจจุบันนี้ ไม่ให้รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราได้ ก็ใส่สมถะไปล้วน ๆ เถอะ แต่ถ้าเราต้องการที่จะหลุดพ้น ก็ต้องมีวิปัสสนาเข้าไปช่วยอีกแรง
ถาม : แล้วถ้าเราใช้สมถะกดไว้พักหนึ่ง เป็นวิธีที่ถูกต้องไหมคะ ?
ตอบ : อย่างไรก็ได้ อันดับแรก ก็คือ อย่าให้กิเลสออกทางกาย ประเภทอาละวาด ชักสีหน้า ชี้หน้าด่า ประเภทนั้นอย่าให้ออกมา แต่ถ้าอยู่ข้างในแล้ว อกเราจะแตกตาย ก็ให้ตายไปคนเดียว อย่าให้กิเลสเราไปเลอะเทอะเปรอะเปื้อนใส่คนอื่นเขา
อันดับแรก ต้องดึงให้หยุดให้ได้ก่อน ทำอย่างไรที่จะดึงม้าให้หยุดตรงหน้าผาให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นพาเราลงเหวแน่ หลังจากนั้นเราค่อย ๆ ไปหาทางจัดการกันทีหลัง นั่นก็ถือว่าเป็นการใช้ปัญญาอย่างหนึ่งเหมือนกัน
เพียงแต่ว่ากำลังเรายังไม่เพียงพอที่จะตัดอย่างฉับพลัน ก็ต้องใช้วิธีค่อยเป็นค่อยไป ก็คือ ระงับจากส่วนหยาบก่อน แล้วถึงเวลาค่อยไปจัดการกับส่วนละเอียดทีหลัง อย่างที่อาตมาเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยที่อยู่วัดท่าซุง ออกบิณฑบาตพร้อมกับหลวงตาวัชรชัย
การบิณฑบาตช่วงนั้นก็เดินสายใต้ด้วยกัน ก่อนหน้านั้นหลวงตาท่านเดินนำตลอด พออายุกาลพรรษาเริ่มมากขึ้น พระรุ่นน้องเริ่มมากขึ้น หลวงตาท่านอายุมากขึ้น เดินไกลไม่ค่อยไหว ท่านก็แยกไปบิณฑบาตสายหลังวัด อาตมาก็ไปเดินนำสายใต้แทน
พอดีวันนั้นหลวงตาท่านยังนำอยู่ ขากลับญาติโยมไปใส่บาตรเยอะมาก ลูกศิษย์หลวงพ่อไปวัดแต่ละวันไม่ใช่น้อย อย่างไม่มีก็เป็นร้อยคน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2011 เมื่อ 03:01
|