เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจะเห็นว่าเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บนั้นไม่มีอะไรน่ากลัว หากแต่กำลังสำแดงในสิ่งที่เป็นความจริงแท้ เป็นสัจธรรม ก็คือความจริงที่อยู่คู่กับร่างกายนี้ ตามที่องค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า พยาธิปิ ทุกขา การเกิดมามีร่างกายนี้ มีความทุกข์จากการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา พยาธิง อนตีโต เราไม่สามารถที่จะล่วงพ้นความป่วยไข้นี้ไปได้
ดังนั้น..เมื่อเกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา รักษาได้ก็รักษาไปตามหน้าที่ รักษาไม่ได้จะตายจะพังลงไปก็ไม่ได้ไปหวั่นไหว ไม่ได้ไปเศร้าหมองอยู่กับอาการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น ๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องพิจารณาย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าสัญญา คือความรู้ได้หมายจำของเรานั้น กลายเป็นปัญญา คือสภาพจิตที่เห็นแจ้งตามความเป็นจริง แล้วยอมรับว่าธรรมดาของการเกิดมามีร่างกายนี้ ย่อมมีการเจ็บไข้ได้ป่วยเช่นนี้เป็นธรรมดา
ในเมื่อมีความเป็นธรรมดาเช่นนี้ เราก็ยอมรับสภาพไปตามปกติที่มี ที่เป็น สภาพจิตก็จะไม่ไปดิ้นรน ไม่ไปกลัดกลุ้ม หากแต่ว่าเกิดปีติรื่นเริง ที่ได้เห็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้เห็นความทุกข์อย่างชัดเจน ที่ได้เห็นสภาพร่างกายนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้ อีกไม่นานเราก็จะได้ก้าวพ้นจากไปแล้ว
ถ้าท่านทั้งหลายกระทำอารมณ์ใจดังนี้ได้แล้ว ก็เอาจิตเกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าเกาะพระนิพพานของเราไว้ แล้วภาวนาของเราต่อไป
ลำดับนี้ก็ให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-08-2014 เมื่อ 15:31
|