ดูแบบคำตอบเดียว
  #10  
เก่า 18-02-2010, 11:10
ฅนเมืองพริบพรี
Guest
 
ข้อความ: n/a
Default

.........นอกจากนี้ ท่านหญิงไม่เคยแสดงอารมณ์ใด ๆ ไม่พอใจต่อผู้ก่อการร้ายเลยแม้แต่น้อย ทรงให้อภัยทานอยู่ปกติ ด้วยบารมี ๑๐ ครบถ้วนบริบูรณ์ จากทานบารมี - ศีล - เนกขัมมะ - ปัญญา - ขันติ - สัจจะ - อธิษฐาน - เมตตาและอุเบกขาบารมี ขอให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณาตาม (ธัมมวิจยะ) บารมี ๑๐ ดูแล้วจะเข้าใจเอง ดีกว่าให้ผู้อื่นมาเป็นผู้บอกให้ฟัง ๑,๐๐๐ เท่า หรือ ๑๐,๐๐๐ เท่าทีเดียว

เมื่อเข้าใจด้วยตนเองแล้ว จึงจะเข้าใจในอารมณ์ช่างมัน หรืออารมณ์อุเบกขา หรือ อารมณ์สังขารุเปกขาญาณได้ ว่ามันเป็นอันเดียวกัน แต่มันมีได้ตั้งแต่หยาบ ๆ มาหาชั้นกลาง และละเอียดตามลำดับ
และยังเห็นได้ชัดว่าบางคน บางวัน ก็มีอารมณ์ช่างมัน แต่บางวันกลายเป็นอารมณ์ช่างเผือกไปก็มีไม่น้อย ทั้งนี้เพราะอารมณ์นี้ขึ้นอยู่กับศีลเป็นสำคัญ

หากศีลยังไม่เป็นศีล เต็มบ้างไม่เต็มบ้าง (ศีลน้ำขึ้นน้ำลงหรือโลกียศีล) อารมณ์ก็ขึ้น ๆ ลง ๆ ตามศีล แต่หากศีลของผู้ใดเป็นอัตโนมัติแล้ว หรือมีสีลานุสติอยู่กับใจตลอดเวลา หรือโลกุตรศีล หรือศีลของพระอริยะเบื้องต้น หรือศีลของพระโสดาบันนั่นเอง ซึ่งเป็นอธิศีลจะไม่มีคำว่าเผลอ ไม่มีคำว่าขาดอีกต่อไป บุคคลเหล่านี้แหละ จึงจะมีอารมณ์ช่างมันจริง แม้จะมีอะไรมากระทบก็ทรงอยู่ได้ แต่หากกระทบแรง ๆ ย่อมมีความหวั่นไหวในตอนแรกเป็นธรรมดา แต่ท่านก็สามารถปรับอารมณ์ของตนเองได้ หรือช่วยตนเองได้ เอาตัวเองรอดได้ในเวลาไม่นาน (ตามบารมีที่ท่านมีอยู่ในขณะนั้น) ผู้ที่หมดความหวั่นไหวเมื่อถูกกระทบ คือ พระอรหันต์เท่านั้น
.........สิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดความหวั่นไหว ก็คือ ศีลอีกนั่นแหละ แม้ศีลจะเป็นอธิศีลก็ตาม แต่ยังไม่ละเอียดพอ พระพุทธองค์จึงให้ใช้กรรมบถ ๑๐ คุมอารมณ์จิตต่อไป จากกรรมบถ ๑๐ พระองค์ทรงให้ใช้เทวธรรมคุมอารมณ์จิต ไม่ให้เกิดอารมณ์พอใจ หรืออารมณ์ยินดีด้วยในกามฉันทะ และปฏิฆะ โดยใช้สังโยชน์ ๑๐ เป็นแนวทางในการปฏิบัติ

.........ดังนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ศีลคือแม่ของพระธรรม หรือศีลเป็นมารดาของพระพุทธศาสนา (ผมขอให้ท่านผู้อ่านจงพิจารณาเอาเอง จะได้รู้ได้เห็นด้วยตนเอง เพราะธรรมของพระองค์จะรู้ได้เห็นได้จริง ตามความเป็นจริง ด้วยการปฏิบัติตามวิธีของพระองค์เท่านั้นและรู้ได้เฉพาะตนด้วย หากผู้ใดปฏิบัติยังไม่ถึง หรือยังไม่เข้าใจธรรมะของพระองค์ ทำอย่างไรก็ไม่มีทางรู้ ทางเห็นได้ เพราะตัวเข้าใจคือ ตัวปัญญา หรือสัมมาทิฏฐิเกิด ผู้ที่ไม่เข้าใจธรรมะ ปัญญายังไม่เกิด หรือยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่) หากจะใช้สังโยชน์ เป็นเครื่องวัดความดีของท่านหญิง ย่อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผมคือ

.....๑.สักกายทิฏฐิ ข้อแรกนี้ชัดเจนในคำอุทานที่ว่า “ชีวิตนี้ไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย” ผมขอผ่านไป
.....๒.วิจิกิจฉา ข้อสองนี้ก็เช่นกัน ท่านเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยการปฏิบัติตาม ๑๐๐ % คือปฏิบัติตามอริยมรรค ๘ ซึ่งย่อแล้วเหลือ ๓ ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือปฏิบัติบูชาด้วย ทาน ศีล ภาวนา ท่านปฏิบัติตลอดเวลาชนิดเป็นอกาลิโก (คือ ทำตลอดเวลาในทุกโอกาส ทุกสถานที่ และทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ฅนเมืองพริบพรี : 18-02-2010 เมื่อ 12:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา