๘. “พิษสงของนิวรณ์ตัวฟุ้งซ่านนั้นมีอยู่มากหลาย ให้ศึกษาจุดนี้ให้มาก ๆ ด้วย
๘.๑ จิตของคนเรา เมื่อมีเวลาละทิ้งหน้าที่การงานของกายในชั่วขณะหนึ่ง จุดนั้นกายวิเวกแล้ว
๘.๒ เมื่อเป็นเวลาว่างจากการสนทนากับบุคคลภายนอก นั่นเป็นวจีวิเวกแล้ว
๘.๓ เมื่อควบคุมอารมณ์มิให้ฟุ้งซ่านได้ นั่นเป็นมโนวิเวกแล้ว
และเมื่อเอาสติ-สัมปชัญญะมา
กำหนดรู้ในพระธรรมคำสั่งสอน เอโกธัมโมก็เกิด ทำให้จิตมีความเข้าใจในพระธรรม แม้จักเผลอฟุ้งซ่านไปบ้าง ก็มีสติ-สัมปชัญญะรู้ตัวเร็ว หักล้างนิวรณ์ให้สลายตัวไปได้ ดีกว่าไม่รู้ตัวเสียเลย เมื่อทำเช่นนั้นจนสามารถรู้ตัวได้
ว่าจิตสงบเป็นอย่างไร หมายถึงสงบโดยปราศจากอารมณ์ฟุ้งซ่านเป็นอย่างไร และสามารถรู้ได้ว่าจิตมีกำลังพิจารณาวิปัสสนากรรมฐานเป็นอย่างไร เมื่อนั้นจิตก็จักพบกับความสุขสงบเยือกเย็น รู้คุณ-รู้โทษของอารมณ์ที่จิตเสวยอยู่อย่างชัดเจน จุดนี้พึงศึกษาให้มาก”
๙. “
จิตจักเจริญได้ ต้องอาศัยความเพียร เจริญสมถะและวิปัสสนาอย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้จิตเป็นไปตามแบบปลาตายลอยน้ำ
จักต้องรู้จักฝึกจิต ทรมานจิตให้คลายจากอารมณ์เกาะติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสให้ได้ นี่เป็นจุดต้น แต่ถ้าหากจักตัดให้เป็นอุกฤษฎ์ ก็คือสังวรจิต ฟอกอารมณ์หลงเอาไว้เสมอ ๆ (โดยขู่มันว่า หากตายตอนนี้เจ้าจะไปไหน) และอย่าลืม อย่าตั้งความหวังไว้แค่พระอนาคามี ให้ตั้งไว้ให้ได้ถึงความเป็นพระอรหันต์ให้ได้ เพราะนั่นแหละ จึงจักถึงซึ่งพระนิพพานได้ในปัจจุบัน
ในการปฏิบัติจริง ๆ แล้ว ให้ตัดสังโยชน์ ๓ ให้ได้ก่อนโดยเอาอธิศีลเป็นพื้นฐาน เมื่อได้แล้ว สังโยชน์ ๔-๕ ไม่ต้องตัด ให้รวบรัดตัดอวิชชาข้อที่ ๑๐ ของสังโยชน์เลย เพราะในคนฉลาดที่มีบารมีเต็มหรือกำลังใจเต็ม ทรงให้ตัดข้อเดียวคือสักกายทิฏฐิ ตัดโดยไม่มีอวิชชาครอบงำ ก็พ้นทุกข์ได้ อุบายที่ทรงพระเมตตาแนะนำ วิธีเข้าสู่พระนิพพานแบบง่าย ๆ สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานได้สังโยชน์ ๓ ข้อแรกแล้ว ก็คือ รู้ลม รู้ตาย รู้นิพพาน”
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๙
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com