ชื่อกระทู้: มวยไชยา
ดูแบบคำตอบเดียว
  #11  
เก่า 19-03-2009, 17:15
ทิดตู่ ทิดตู่ is offline
สมาชิกยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 168
ได้ให้อนุโมทนา: 27,852
ได้รับอนุโมทนา 47,512 ครั้ง ใน 1,464 โพสต์
ทิดตู่ is on a distinguished road
Default

การย่างสามขุม จัดเป็นพื้นฐานการฝึกเบื้องต้นของผู้ฝึกมวยทุกคนหลังจากการขึ้นมวยไหว้ครูแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านพี่เคยบอกไว้ว่า การย่างสามขุมเพียงอย่างเดียว เมื่อแสดงออกโดยผู้ที่ชำนาญในทางมวยแล้วยังมีผลไม่เสมอกัน คือประหนึ่ง ม้าย่อง เสือย่าง สีหยาตร แค่ลำพังการย่างสามขุมก็แสดงออกได้ถึงฝีมือ และความชำนาญในการฝึกมวย การย่างสามขุมตามตำรับมวยไชยาที่ถือว่าเป็นแม่ไม้ที่สำคัญ อันแสดงออกถึงตำรับของมวยไชยานั่นก็คือการ"ย่างสามขุมคลุมแดนยักษ์" ดังมีประวัติมา ดังนี้ครับ

ท่าครูมวยไชยา ซึ่งถือได้ว่าเป็น แม่ไม้ สำคัญ อันนับได้ว่าเป็นท่าอมตะนั้น มีชื่อว่า "ท่าย่างสามขุมคลุมแดนยักษ์" ที่นอกจากจะมีความกระชับ รัดกุม ทะมัดทะแมง แล้วยังมีเรื่องเล่าเปรียบเทียบที่มาของชื่อท่า โดยอิงจากคติความเชื่อเรื่องเทพของฮินดู ดังจะขอยกเอาข้อเขียนของ ปรมาจารย์เขตร์ ศรียาภัย ที่ท่านได้เคยกล่าวไว้ดีแล้ว เพื่อเป็นความรู้แก่อนุชนผู้สนใจ ใฝ่รู้ ดังนี้

....."...ครั้งนั้นพระอิศวรเป็นเจ้าประทับเกษมพระสำราญอยู่กับพระอุมาในแดนสวรรค์ (ตามคติของลัทธิฮินดูหรือไสยศาสตร์หมายความว่าแดนแห่งความสว่างรุ่งเรือง) พรั่งพร้อมด้วยเทพยดาและสาวสวรรค์ฟ้อนรำบำเรอถวาย โดยมีคนธรรพ
(ในไตรภูมิพระร่วงกล่าวว่ารูปร่างครึ่งคนครึ่งเทวดา) ขับกล่อมมโหรีปี่พาทย์ระคนเสียงปี่๖๐,๐๐๐เลา (คงดังเหมือนฟ้าร้อง) เมื่อเวลางานรื่นเริงของชาวสวรรค์ยุติลง อมรใหญ่น้อยทั้งปวงเตรียมแยกย้ายกันกลับวิมานแห่งตน พระผู้เป็นเจ้าทรงชายพระเนตรเห็นอสูรตาตะวันหมอบเฝ้าอยู่แทบฐานพิมานเมฆ ก็ทรงพอพระทัย (ชอบประจบ?) ในความจงรักภัคดี จึงตรัสปราศรัยด้วยถ้อยมธุรส ฝ่ายพญายักษ์เลยลำพองใจเห็นได้ท่าก้มหัวลงกราบทูล ขอประทาน ที่ดินเป็นกรรมสิทธ์ กว้างยาวโดยคณา ๓๐๐ โยชน์ (เท่ากับ๑๐๐ ตารางไมล์) พร้อมด้วยพรว่า สัตว์ต่าง ๆ ไม่ว่า จะเป็นเดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา นาคา กุมภัณฑ์ หรืออสูรใดๆ หากบุกรุกเข้าไปในดินแดนแห่งกรรมสิทธิ์ของตนแล้ว ไซร้ ขอจับกินเป็นอาหารได้ตามอำเภอใจ พระอิศวร (แก่ให้พร แต่เรียกคืนไม่ได้) ก็จำต้องประทานพรและที่ดิน ให้แก่ยักษ์ตามขอ

.....เมื่อท้าวตาตะวันได้สิ่งพึงประสงค์ง่ายดายสมใจก็กลับคืนสู่ที่อยู่ ข้างเขาพระสิเนรุราชบรรพต (เทือกป่าหิมพานต์ ซึ่งเป็นป่าหนาวจัดแถบเหนือของอินเดีย) มีความปลาบปลื้มลืมตัว เมามัวอำนาจคาดคิดจะล้มฟ้า กำเริบอยากกิน สัตว์แปลกๆ เป็นอาหารตามสันดานเลว ตั้งพิธีเพิ่มตบะร่ายมนต์วิเศษขึ้น ( คงเป็นบทที่พระสังข์ทอง เรียกเนื้อเรียกปลา? ) ด้วยแรงฤทธิ์รากษสร้าย แรงฤทธิ์วิศวมนต์

เทวดามนุษย์และสัตว์โลกน้อยใหญ่หลากหลายที่ต้องมนต์พากันหลงใหลล่วงล้ำเข้าไปใน แดนมฤตยู โดยมิได้ตั้งใจ ท้าวตาตะวันเห็นดังนั้นดีใจจนน้ำลายไหลไล่จับกิน ได้สัตว์กินสัตว์ ได้มนุษย์กินมนุษย์ ตลอดจนเทวดานางฟ้าและคนธรรพ ต่างถูกกิน คราวละมากๆไม่เว้นแต่ละวัน ร้อนถึงพวกที่ยังไม่ถูกกินต่างพากันหวั่นเกรง นั่งนอนสะดุ้ง ประสาทเสื่อมไปตามๆกัน (ยิ่งกว่าสูดควันท่อไอเสีย) จึงปรึกษาหารือ ตกลงชวนกันขึ้นเฝ้าพระอิศวร (พิเคราะห์ดูแล้ว ไม่น่าแปลกที่มีการเดินขบวนร้องทุกข์ ต่อผู้อำนวยการปราบปรามผู้เป็นภัยต่อสังคม) บรรยายทุกข์ร้อนให้พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบ

.....พระอิศวรได้ฟังก็ทรงพระพิโรธ รับสั่งให้เทพบุตรไปตามพระนารายณ์ ซึ่งประทับบรรทมอยู่ ณ เกษียรสมุทร ให้รีบปราบยักษ์เพื่อกำจัดยุคเข็ญโดยด่วน


.....คนไทยส่วนมากย่อมทราบอยู่แล้วว่า พระนารายณ์เป็นเทพเจ้าซึ่งไม่โปรดยักษ์มารที่คดโกง การปราบปราม ก็เด็ดขาดรุนแรงถึงขั้นประหารชีวิตทุกราย เช่น ปราบยักษ์นนทุก ผู้ได้พรนิ้วเพชรแล้วเที่ยวชี้ใครต่อใครตายเป็นระนาว หิรัญยักษ์ม้วนแผ่นดิน เดือดร้อนแก่เหล่ามัตตัย (คนไทย) ไม่มีที่อยู่ และอสูรหอยสังข์ ผู้ขโมยคัมภีร์พระเวท เป็นต้น

.....ครั้นพระนารายณ์ได้ทราบพระโองการของพระผู้เป็นเจ้า จึงแปลงกายเป็นพราหมณ์รูปงาม นวยนาดเอื่อยๆ ล่วงล้ำเข้าไปในแดนหวงห้าม ด้วยลักษณะที่คณาจารย์มวยให้ชื่อว่า "นารายณ์ยุรยาตร" เพื่อสังเกตทีท่าอย่างระมัดระวัง แบบนักมวยได้ยินสัญญาณระฆังให้เริ่มต่อสู้กัน

.....ทันใดนั้นอสูรตาตะวันผู้ก่อความมืดมน (ความชั่ว) แก่โลก ก็ตวาดด้วยเสียงอันดังดุจฟ้าร้องว่า อ้ายหนุ่มเดนตาย มึงทะลึ่งเซ่อซ่าเข้ามาทำไม ไม่กลัวยักษ์จับกินหรือ

.....พราหมณ์แสร้งทำ (ลูกไม้) เป็นกลัว ตอบคำตะคอกของยักษ์ด้วยสำเนียงสั่นเครือว่า ท่านผู้ยิ่งใหญ่ไม่มีใครเทียบเท่า ข้าน้อยเดินหาที่ดินเพื่อประกอบพิธีตามตำรับพระเวทแห่งวิสัยพราหมณ์ สัก ๓ ก้าว (เล่ห์เหลี่ยม) ไม่ได้คำแหงหาญบุกรุกรบกวน ขอท่านอสูรได้โปรดเมตตาข้าด้วย เมื่อข้าประกอบพิธีเสร็จแล้ว แม้จะต้องตายก็ไม่เสียดายชีวิต เพราะขึ้นชื่อว่าได้ประพฤติสมบรูณ์แบบที่ได้กำเนิดเกิดมาในตระกูลพราหมณ์แล้ว

.....ท้าวตาตะวันไม่รู้กล (ไม้มวยไทย) ทะนงตนตอบว่า กูได้ที่ดินแห่งนี้มาจากพระอิศวร ถ้ามึงอยากได้เพียงใช้ประกอบพิธีกูก็จะยอมให้เท่าที่มึงต้องการโดยไม่คิดอะไรทั้งหมด
.....พราหมณ์แปลง แกล้งทำเป็นสงสัย ถามอีกครั้งว่า ท่านผู้เป็นใหญ่ (เหมือนคนไทยถูกยกย่องในครั้งแรก) ท่านกรุณาให้แล้ว จะกลับเอาคืนหรือไม่

.....อสูรตาตะวันไม่เฉลียวใจ ลั่นวาจาตอบด้วยความคะนองว่า เมื่อกูให้เป็นสิทธ์แล้ว กูก็รักษาสัจจะไม่เอาคืนเป็น อันขาด

.....ทันทีที่ได้ยินยักษ์ตั้งความสัตย์ พระนารายณ์แปลงก็สำแดงเดช ป่าหิมพานต์สะท้านสะเทือน "ย่างสามขุม" ยักเยื้องคลุมแดนยักษ์หมดทั้ง ๓๐๐ โยชน์

.....อสูรตาตะวันตกใจ ตะลึง คิดว่าคงไม่มีใครทำเช่นนั้นนอกจากองค์พระสี่กร นึกขึ้นได้ กลัวตาย รีบเผ่นหนี เพื่อเอาตัวรอด แต่ไปไม่รอด ต้องถึงกาลมอดม้วยมรณาด้วยเดชามหาอิทธิฤทธิ์แห่งเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์

.....เพราะฉะนั้นตามตำราพระเวทจึง (นับ)ถือเอาการ "ย่างสามขุม" หรือการก้าวจังหวะยักเยื้องสามเส้าเป็นแบบฉบับ ในขบวนการ "พาหุยุทธ์" หรือการชกต่อย และใช้อุปเท่ห์เล่ห์เหลี่ยมดำเนินการปลุกปราณ (จิตใจ) บรรดามัลละ ในขณะเริ่มการต่อสู้ด้วยคติที่ว่า อย่าแต่ว่าปฏิปักษ์ซึ่งเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเลย แม้ยักษ์ เมื่อต้องประจันหน้ากับ ท่าทาง "ย่างสามขุม" ยังตกใจกลัวหนีจนไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้

คัดจากฟ้าเมืองไทยเรื่อง"ปริทัศน์มวยไทย"โดย ปรมาจารย์เขตร ศรียาภัย
อ้างอิงจาก http://www.muaychaiya.com/chaiyapratom.html

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ทิดตู่ : 09-04-2009 เมื่อ 13:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ทิดตู่ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา