ประวัติและคำสอนของหลวงปู่สิม (หน้า ๗)
ปี พ.ศ.๒๔๘๐ ออกพรรษาแล้ว หลวงปู่เดินธุดงค์จากวัดบรมนิวาส
มาจนถึงบ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
เพื่อโปรดญาติโยมที่บ้านเกิด ตามคำอาราธนา
ชาวบ้านบัวและบ้านใกล้เคียงมีความเคารพเลื่อมใส แห่กันมาทำบุญกุศล และฟังพระธรรมเทศนา
รับการอบรมการปฏิบัติสมาธิภาวนาจากหลวงปู่อย่างมากมาย
หลวงปู่ท่านไม่นิยมการสั่งสมทรัพย์สมบัติใด ๆ
หากมีลาภเกิดขึ้น ท่านจะแจกจ่ายออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อครั้งญาติพี่น้องของท่านนิมนต์ไปที่บ้านเกิดเพื่อรับส่วนแบ่งมรดกที่ดิน
หลวงปู่บอกกับพี่น้องว่า
นาที่เป็นมรดกนั้นให้แบ่งกันเองเถอะ เราเอานาทุ้งนี้ (ทุ้ง เป็นภาษาอีสาน แปลว่าทุ่ง)
แล้วท่านก็ชี้ไปที่บาตรของท่าน
หลวงปู่จำพรรษาที่บ้านเกิดเพียงพรรษาเดียว แล้วท่านก็ธุดงค์ไปจังหวัดเพชรบูรณ์
แวะจำพรรษาอยู่ ๒ พรรษาตามวัดป่า แล้วท่านก็ขึ้นเหนือ
จนกระทั่งได้พบท่านอาจารย์มั่น ที่หมู่บ้านแม่ดอย อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
ณ ที่นี้เอง ท่านได้รับคำแนะนำเพิ่มเติมจากท่านอาจารย์ จนการปฏิบัติธรรมของท่านก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก
ต่อมาท่านอาจารย์มั่นกลับไปที่จังหวัดอุดรธานี ท่านก็แยกไปพักที่วัดโรงธรรมสามัคคี อำเภอสันกำแพง
ได้พักจำพรรษาอยู่นานถึง ๕ ปี แล้วจึงไปอยู่ที่ถ้ำผาผัวะ อำเภอจอมทอง
และอีกหลาย ๆ ที่ในจังหวัดเชียงใหม่
ท่านเคยปรารภกับองค์ท่านเองว่า จะเป็นด้วยเหตุอะไรหนอ
ไปอยู่ที่อื่นที่ไหน ๆ ก็ตามไม่รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจ เหมือนอยู่ที่เชียงใหม่
ครั้งหนึ่งมีภาพนิมิตเกิดขึ้น เป็นภาพหลวงปู่ในเครื่องทรงของพระเจ้าแผ่นดินเชียงใหม่
ใส่รองเท้าสูงถึงครึ่งน่องแน่ะ หลวงปู่เล่าอย่างขำ ๆ
__________________
การรักษากำลังใจสำคัญที่สุด...ได้ดีอย่าฟู แล้วขณะเดียวกันว่า ถ้าได้ร้ายก็อย่าฟุบ ให้เห็นว่ามันเป็นปกติของมัน เรื่องของมัน
ถ้ามันดีมาพออาศัยได้ก็ดีกับมันไป ถ้าหากว่ามันไม่ดีมา เราอยู่กับมันก็ให้รู้อยู่มีสติอยู่ ถึงเวลาก็ต่างคนต่างไปอยู่แล้ว...
กำลังใจของเราพลาดแม้แค่วินาทีเดียวนี่ อาจจะหมายถึงแพ้ทั้งกระดาน
อะไรมันก็ไม่เจ็บปวดเท่ากับต้องเกิดใหม่ มันเป็นทุกข์ เป็นโทษสุด ๆ จริง ๆ
กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๕๑
|