เรื่องของการปฏิบัติจึงต้องขยัน ทำให้ต่อเนื่อง อย่าทำ ๆ ทิ้ง ๆ ทำแล้วต้องหวังผล โดยเทียบตนเองกับสังโยชน์ ๓ เป็นปกติ รู้ตัวอยู่เสมอว่าชีวิตนี้จะต้องสิ้นสุดลงไปในวันใดวันหนึ่ง หรือถ้ารู้ตัวมากกว่านั้นก็คือเราไม่แน่ว่าจะมีวันพรุ่งนี้ หรือถ้าจะเอาละเอียดกว่านั้นก็คือ เราหายใจเข้าไม่รู้ว่าจะได้หายใจออกหรือไม่ เราหายใจออกไม่รู้ว่าจะได้หายใจเข้าหรือไม่ ความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานที่เดียว
เมื่อมีเป้าหมายทุกอย่างชัดเจน เชื่อว่าญาติโยมทุกท่านจะได้เอาไว้เป็นหลักยึดถือในการปฏิบัติของเรา อย่าทำแบบตาบอดคลำช้าง ให้เทียบตัวเองอยู่ทุกวัน ถามตัวเองว่าถ้าวันนี้เราตายลงไป เราพร้อมที่จะตายหรือไม่ ? ให้เป็นคำตอบจากใจจริง ๆ ไม่ใช่ตอบว่า “พร้อมที่จะตาย” เพราะรู้ว่าคำตอบนี้ถูก ให้เป็นคำตอบจากใจของเราจริง ๆ ว่าพร้อมหรือไม่พร้อม ถ้ารู้ตัวว่าไม่พร้อมก็เร่งความดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จะได้พร้อมมากกว่านี้ ถ้าหากว่าพร้อม ก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำความดีต่อไปอย่าได้ประมาท
ถามตนเองว่าคนที่เรารักมีหรือไม่ ? ของที่เรารักมีหรือไม่ ? ทรัพย์สมบัติที่เรายึดถือหวงแหนมีหรือไม่ ? ซึ่งเชื่อว่ามีกันทุกคน แล้วถามตนเองว่าถ้าเราต้องทิ้งทุกอย่างไปในเวลานี้เราพร้อมหรือยัง ? นี่เป็นแค่สถานการณ์สมมุติเท่านั้น ถ้าของจริงเข้ามาเราจะไม่มีเวลาในการตัดสินใจเลย เพราะว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายจะมาถึงเมื่อไรก็ไม่รู้ พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ ให้เราทั้งหลายยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ก็คือต้องเร่งขวนขวายนำตนให้พ้นจากทุกข์ภัยในวัฏสงสารแห่งนี้ให้ได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-12-2014 เมื่อ 11:25
|