เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๙
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ วันนี้ทางชมรมโมทนาบุญเว็บพลังจิต ได้เป็นเจ้าภาพในการจัดงานสวดพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ ซึ่งการสวดพระคาถาต่าง ๆ หรือการสวดมนต์ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ใหญ่ทั้งสิ้น อันดับแรก การสวดมนต์หรือพระคาถาต่าง ๆ เราต้องได้สมาธิ ถ้าไม่ได้สมาธิก็จะสวดผิด เพราะถ้าเราเผลอสติไปคิดเรื่องอื่น หรือถ้าสมาธิยังไม่ทรงตัวดี ก็อาจจะนับจำนวนผิดได้ เป็นต้น
อันดับที่สอง ถ้าท่านใช้การสวดนั้นเป็นคำภาวนาควบไปกับลมหายใจเข้าออก ซึ่งจะเป็นคำภาวนาที่ค่อนข้างยาวอยู่สักหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีปัญหา เราสามารถที่จะสร้างฌานสมาบัติขึ้นจากการสวดมนต์หรือการสวดพระคาถาต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะท่านที่สวดเป็นระยะเวลานาน ๆ ครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง สามารถทรงฌานทรงสมาบัติได้ง่าย หรือท่านจะสวดเฉพาะเช้าและเย็น ถึงเวลาแล้วใจประหวัดถึงว่าเราจะต้องสวดมนต์ เราจะต้องไหว้พระ ดังนี้เป็นต้น ก็แปลว่าจิตเรามีความเคยชิน เริ่มทรงอยู่ในสภาพของฌานเช่นกัน
ลำดับต่อไป เราสามารถสร้างทิพจักขุญาณขึ้นจากการสวดมนต์ หรือสวดพระคาถาต่าง ๆ ได้ โดยการที่เราตั้งใจนึกถึงตัวหนังสือที่เป็นคำสวดขึ้นมาทีละคำ ทีละประโยค ขึ้นมาอยู่ตรงหน้าเรา แต่เราจำเป็นต้องสวดมนต์หรือพระคาถานั้น ๆ ให้คล่องตัวเสียก่อน เมื่อถึงเวลานึกจะได้ไม่ลำบาก ไม่ติดขัด ถ้าเราซักซ้อมทำอยู่เสมอ ๆ จะเห็นเหมือนอย่างกับเราเปิดหนังสือดู นั่นก็คือการเห็นในลักษณะของทิพจักขุญาณ เราก็แค่เอาไปปรับใช้งาน ขอเห็นผี เห็นเทวดา เห็นนางฟ้า เห็นนรก เห็นสวรรค์ ก็เห็นในลักษณะเดียวกัน ก็คือไม่ได้เห็นด้วยสายตา แต่เป็นการเห็นด้วยทิพจักขุญาณ เป็นการเห็นในห้วงนึก ถ้าท่านเห็นอักขระตัวอักษรได้ชัดเจนเท่าไร ท่านก็จะเห็นผีเห็นเทวดา เห็นนรกสวรรค์ได้ชัดเจนเท่านั้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2016 เมื่อ 02:20
|