ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 25-01-2016, 12:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ลำดับต่อไป ถ้าท่านสามารถสร้างมโนมยิทธิให้เกิดขึ้นกับตนเองได้ ก็ให้ยกจิตขึ้นไปสวดมนต์หรือสวดพระคาถาถวายพระบนพระนิพพาน สภาพจิตของเราถ้ายังมีงานให้ทำอยู่ ก็จะไม่เคลื่อนไม่คลายจากสภาพของพระนิพพาน ทำให้เราสามารถเกาะพระนิพพานได้นานขึ้น ไม่เช่นนั้นด้วยความละเอียดของพระนิพพาน กับความหยาบสภาพจิตของเราซึ่งเข้ากันได้ยาก บางทีไม่ทันที่จะคิด เราก็หลุดตกลงมาข้างล่างเสียแล้ว

ดังนั้น การที่เรายกจิตขึ้นไปสวดมนต์หรือสวดพระคาถาถวายพระท่านข้างบนนั้น จิตมีสภาพจำว่างานยังไม่หมด ในเมื่องานยังไม่หมด ยังสวดมนต์หรือสวดพระคาถาไม่จบครบตามที่ต้องการ สภาพจิตก็จะไม่เคลื่อนไม่คลายออกมา ทำให้เรามีความเคยชินสามารถเกาะอยู่กับพระนิพพานได้นานมากขึ้น ต่อไปสภาพที่เคยชินกับความสะอาด สว่างผ่องใสที่ปราศจากกิเลสของพระนิพพาน ถ้าทรงใจของเราอยู่ได้นาน ๆ เราก็สามารถที่จะเข้าถึงความหมดกิเลสโดยอัตโนมัติ ในลักษณะของเจโตวิมุตติ ก็คือใช้สมาธิ ใช้สมาบัติในการข่มกิเลส แต่เราไม่ต้องใช้กำลังมากในการข่มกิเลส เพราะเรายกจิตไปอยู่ที่พระนิพพานเลยทีเดียว

ลำดับสุดท้ายในการสวดมนต์หรือสวดพระคาถานั้น ส่วนที่จะก่อเกิดประโยชน์อย่างมหาศาลก็คือ ถ้าเราสามารถแปลได้ บทสวดมนต์ทั้งหลายก็คือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง เราก็นำเอาพระธรรมนั้นมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเรา จนกระทั่งเกิดผลขึ้นมา ก็เท่ากับว่าเราสำเร็จสัมฤทธิ์ผลในหัวข้อธรรมต่าง ๆ ทั้งหลายเหล่านั้น โดยเฉพาะในส่วนที่ทุกท่านปรารถนาก็คือ สามารถก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2016 เมื่อ 13:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 52 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา