ดูแบบคำตอบเดียว
  #1  
เก่า 13-11-2013, 19:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,826 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๖

ให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า คืออยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะกำหนดการรู้ลมกี่ฐานก็แล้วแต่เรามีความถนัด และให้ใช้คำภาวนาที่เราชอบใจ

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานต้นเดือนตุลาคมวันสุดท้าย ระยะนี้ตรงกับเทศกาลกินเจ การกินเจนั้นมีคติมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งถือคตินี้จากศาสดามหาวีระ

เนื่องจากว่าทางด้านศาสดามหาวีระเจ้าของศาสนาเชนนั้นมีความเห็นสุดโต่ง ถึงขนาดว่าการหายใจของเราก็ยังเอาจุลชีวะเข้าไปในร่างกาย ทำให้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นถึงแก่ความตาย ดังนั้น..นักบวชของศาสนานี้จึงไปไหนแล้วต้องมีผ้าคาดจมูกไปด้วย เพื่อป้องกันการหายใจเอาบรรดาเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าไป

ในเมื่อการปฏิบัติเฉพาะเรื่องนี้ยังเคร่งครัดขนาดนั้น เรื่องของอาหารการกินจึงไปเน้นเรื่องของมังสวิรัติ คืองดเว้นจากอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ทุกชนิด เมื่อศาสนาพุทธแพร่เข้าไปในประเทศจีน ก็มีลัทธิของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูนี้ปะปนเข้าไปด้วย จึงกลายเป็นว่าทางด้านมหายานนั้นจะนิยมการกินอาหารที่เป็นมังสวิรัติไปด้วย เนื่องจากว่าทางสายมหายานปฏิบัติในลักษณะของผู้ปรารถนาซึ่งพุทธภูมิ ก็คือตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า ทำให้เกิดความเมตตาสงสารต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย สามารถละเว้นการเบียดเบียนได้ เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าโมทนา

แต่ว่าในบ้านของเรานั้น การกินเจก็มีจำนวนมากที่กินเจด้วยความเมตตา ไม่อยากจะเบียดเบียนต่อสัตว์อื่น แต่ในส่วนที่ต้องระมัดระวังก็คือว่า การกินเจนั้นกลับสร้างกิเลสให้เรามากขึ้น อย่างเช่นในเรื่องอาหารเจก็มีการปรุงแต่งให้หน้าตาเหมือนกับเนื้อสัตว์ ถ้าลักษณะนั้นก็เท่ากับเป็นการหลอกลวงตัวเอง ก็คือยังปรารถนาในการกินอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์อยู่ แต่ว่าหลอกตนเองด้วยการนำเอาอาหารเจมาทำให้หน้าตาดูเหมือนกับที่เป็นเนื้อสัตว์ จึงเป็นการโดนกิเลสปรุงแต่งหลอกลวงถึง ๒ ชั้นด้วยกัน

ประการต่อไปก็คือ ถ้าเรากินเจแล้วคิดว่าเราดีกว่าคนอื่น เราไม่เบียดเบียนชีวิตของคนอื่น ขณะที่คนอื่นยังกินเลือดกินเนื้ออยู่ เราดีกว่าเขา ถ้าอย่างนี้ก็จะเป็นการมานะ ถือตัวถือตน เป็นสักกายทิฐิ เอาตัวกูเป็นใหญ่ ในขณะเดียวกันก็เป็นสีลัพพตุปาทาน คือการยึดมั่นในศีลพรตหลักปฏิบัติของตนเอง ว่าดีกว่าคนอื่นเขา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-11-2013 เมื่อ 19:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา