ดูเข้าไป ดูหนัง แล้วก็ดูเนื้อ เนื้อคน เนื้อสัตว์ มันมีคุณค่ามีราคาและสวยงามที่ตรงไหน หนังเวลาถลกออกมาแล้วมาปูไว้เป็นอย่างไร น่าเกลียดมากไหม ดูเข้าไปในเนื้อ.. เนื้อเป็นอย่างไร ดูเข้าไป เนื้อนี่มันสกปรกหรือสะอาด เอ็นกระดูก.. ยิ่งดูเข้าไปในกระดูกนี้ ทำไมมันถึงติดถึงพันนักจิตใจอันนี้ แกะไม่ออก ดึงไม่ออก มิหนำซ้ำยังส่งเสริมให้ติดแน่นเข้าไปอีก หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก แล้วดูเข้าไปในตับ ไต ไส้ พุงของคนแต่ละคน มีแต่ส้วมแต่ถานเต็มพุงด้วยกันทั้งนั้นแหละ เราดูกันได้เวลานี้ก็เพราะเอาสิ่งที่พอดูได้มาปิดบังไว้นี้ หุ้มห่อแล้วปกปิดกำบังไว้ด้วยการนุ่งการห่มซักฟอกไว้เรียบร้อย มาพบกันเข้าก็พอน่าดูน่าชมว่าเป็นหญิง เป็นชาย เป็นเขา เป็นเราเท่านั้นเอง หลักความจริงคือ ธรรมชาติเดิมของมันนั้นหาความสะอาดสะอ้านไม่ได้.. นี่คือปัญญา พิจารณาแยกแยะอย่างนี้ พิจารณาในเรื่องนี้จนกระทั่งถึงตับ ไต ไส้ พุง อาหารเก่า อาหารใหม่ ถึงส้วมถึงถานในพุงของเรา
ดูแล้วทบทวนหลายครั้งหลายหน เพ่งเล็งด้วยสติด้วยปัญญาหลายครั้งหลายหน จนกระทั่งสติปัญญามีความคล่องแคล่วแกล้วกล้า ดูอวัยวะของตัวนั้นเอง ทีแรกก็เหมือนกันกับเราฝึกหัดเขียนหนังสือ ทั้งเขียนทั้งลบระเกะระกะ เขียนแล้วเขียนเล่า ลบแล้วลบเล่า เพราะเขียนไม่ชำนาญ มันก็ไม่ถูกตัวแล้วเลอะเทอะ ทีนี้เวลาฝึกหัดเขียนไปหลายครั้งหลายหน มันก็ค่อยเป็นตนเป็นตัวขึ้นมา อ่านก็ง่ายขึ้น ๆ เวลามีความชำนาญในการขีดเขียนแล้ว พอมองดูพับเท่านี้มันก็รู้ เขียนก็หวัดไปเลย เพราะความชำนาญของการเขียน อ่านก็แบบเดียวกัน อ่านหวัดไปเลย นี่คือความชำนาญ
การพิจารณาทางด้านปัญญาทีแรกก็ถูไถไปมา ล้มลุกคลุกคลาน เห็นชัดบ้างไม่ชัดบ้างในสิ่งที่กล่าวมาเหล่านี้ซึ่งเป็นหินลับปัญญา.. ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ทุกอย่างเป็นหินลับปัญญา ปัญญาจะคมกล้าขึ้นด้วยการพิจารณาสิ่งเหล่านี้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ จิตใจก็มีความสว่างไสวและคล่องตัวขึ้นมาเป็นลำดับ นี่แหละ หลักฐานเบื้องต้น ที่จะเปิดทางเพื่อมรรคผลนิพพานให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น ก็คือส่วนร่างกายนี้แหละ ที่มันปกปิดกำบังภูเขาทั้งลูก.. ไม่ได้หนาแน่นยิ่งกว่าอวัยวะภายในตัวของเรา ทั้งเขา ทั้งเรา ทั้งหญิง ทั้งชาย มันปกปิดกำบังไว้หมด
หญิงเห็นชายก็หลง ชายเห็นหญิงก็หลง นี่แหละ.. มันหนายิ่งกว่าภูเขาทั้งลูก จึงเปิดทำลายภูเขาลูกนี้ คือภูเขาภูเรานี้ออกด้วยปัญญาให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน จนกระทั่งสติปัญญาคล่องแคล่วแกล้วกล้า.. แยกธาตุ แยกขันธ์ออกไปเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ แยกลงไปเป็นอนิจจัง.. แปรสภาพทุกขัง.. บีบบี้สีไฟตลอดเวลา อนัตตา.. หาความเป็นสัตว์เป็นบุคคลของผู้หนึ่งผู้ใดไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่โลกยึดถือกันตลอดมา เขาก็ไม่ได้เป็นอะไร เป็นของใคร แยกออกเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วพิจารณาซ้ำ ๆ ซาก ๆ ด้วยการดำเนินปัญญา...”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2014 เมื่อ 13:21
|