พระอาจารย์กล่าวว่า "ขอตักเตือนญาติโยมทั้งหลายอีกครั้งหนึ่งว่า การปฏิบัติของเรานั้นจะมีสิ่งขวางอยู่ตลอดเวลา คอยขวางไม่ให้เราเข้าถึงความดีอย่างแท้จริง การที่เราอยากพูด อยากคุย อยากบอก อยากสอนคนอื่น ก็เป็นลีลาหนึ่งที่มารใช้ขวางความดีของเรา เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ชัดแล้วว่า อย่ากล่าววาจาอันเป็นเหตุให้ต้องเถียงกัน วาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกันทำให้ต้องพูดมาก บุคคลผู้พูดมากจิตใจย่อมฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่านย่อมห่างจากสมาธิ
ฉะนั้น..ถ้าเห็นใครพูดคนเดียวก็หลีกไปห่าง ๆ คือเขาไม่ได้พูดมาก เขาพูดคนเดียว ปล่อยเขาพูดต่อไป เราก็ไปภาวนาของเรา ระดับของการปฏิบัติ ถ้ามาถึงช่วงนี้แล้วจะเป็นทุกคน คือถ้าไม่ใช่สงสัยไปทุกเรื่องก็จะเป็นอยากจะสอนเขาทุกเรื่อง
หรือว่ามีความเป็นส่วนตัวสูงจนหาเพื่อนไม่ได้ อาตมาสมัยก่อนก็เป็นอย่างนั้น ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังประมาณอายุ ๑๖ ปี เริ่มต้นทุ่มเทให้กับการปฏิบัติจนถึงอายุ ๒๕ ระยะเวลา ๙ ปีเต็ม ๆ ไม่พูดกับใครเลย แต่งานไม่เสียนะ เพราะว่าตั้งหน้าตั้งตาทำงาน เวลาที่เหลือก็ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติ ไม่มีเวลาพูดคุยกับใคร
มาปลายปี ๒๕๒๖-๒๕๒๗ ช่วงนั้นก็เป็นครูฝึกมโนมยิทธิอยู่ที่บ้านสายลมได้ระยะหนึ่งแล้ว เห็นบรรดาท่านที่ไปฝึก พอสงสัยอะไรก็สอบถามบรรดาครูฝึก อาตมาเองได้ยินบางท่านตอบผิด แล้วไม่ใช่ผิดครั้งเดียว ผิดหลายครั้ง ก็เกิดความรู้สึกว่า “ดูท่าเราจะต้องยอมสูญเสียความเป็นส่วนตัวแล้ว” เพราะไม่อย่างนั้นแล้วบรรดาผู้ที่มาฝึกก็จะเสียประโยชน์ เพราะว่าครูฝึกบางท่านก็ไม่รู้จริง จึงหาโอกาสที่จะพูดคุยกับบรรดาพี่ป้าน้าอาในฐานะลูกศิษย์หลวงพ่อด้วยกันนั่นแหละ คุ้นเคยกันมาหลายปีแล้ว แต่อาตมาพูดน้อยจนนับคำได้
เวลาเห็นท่านนั่งคุยกันอยู่ก็เข้าไป “ขออนุญาตครับ ขอผมคุยด้วยได้ไหม ?” ท่านอื่นรู้สึกอย่างไรก็ไม่รู้ แต่เห็นเขาอึ้งกันไปทั้งวง มีป้าชอ(อัญชัน ศุทธรัตน์) ถอนหายใจดังเฮือก..! บอกว่า “โล่งใจไปที ป้าคิดว่าชาตินี้แกจะไม่พูดกับใครแล้ว” ตั้งแต่นั้นมาถ้าเห็นว่าใครคุยผิดก็จะอ้อม ๆ ไปใกล้ ๆ ใช้วิธีจูงให้กลับมาถูกทาง
บางทีในเรื่องของการปฏิบัติก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปโอ้อวดบอกคนอื่นเขาว่าเรารู้อะไร ยกเว้นว่าจำเป็นจริง ๆ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเก็บกดมาหลายปี มาระยะหลังนี้พออาตมาได้พูดก็เลยไม่ค่อยอยากจะหยุด..!"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2015 เมื่อ 20:39
|