การที่จะดูว่าพวกนักบวช หรือสมมุติสงฆ์ มีศีลปาฏิโมกข์ ๒๒๗ ข้อครบหรือไม่นั้นดูยาก เพราะจะรู้หรือไม่จะต้องอยู่กับเขาสักระยะหนึ่งจึงจะรู้ได้ จุดที่เห็นได้ง่ายก็คือ กรรมบถ ๑๐ หมวดวาจา ๔ พวกนี้จะเผลอกล่าววจีกรรมปรามาส หรือไม่เคารพในผู้มีพระคุณอยู่เสมอ เพราะไม่รู้จริงว่าร่างกายของตนเองนั้นประกอบด้วยธาตุ ๔ มีอาการ ๓๒ ไม่เที่ยง มีความสกปรกเป็นพื้นฐาน รู้แค่สัญญาหรือความจำเท่านั้น จึงขาดสติสัมปชัญญะ กล่าววาจาดูถูกพระแม่ทั้ง ๕ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟและพระแม่โพสพ (ข้าว) ซึ่งเป็นเสมือนหนึ่งมารดาทางธรรมที่อยู่กับเราตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย เมื่อมีอารมณ์ไม่พอใจเกิด (ปฏิฆะหรือโทสะ) ก็มักจะกล่าวคำว่ามันนำหน้า เช่น น้ำมัน ลมมัน ไฟมัน แผ่นดินมันและข้าวมัน พวกนี้มักเผลอกล่าวเวลาเทศน์หรือสนทนาธรรม แม้แต่เขียนหนังสือออกมาก็ยังเผลออยู่ตามสันดานของตน
อีกประโยคหนึ่งที่ได้ยินอยู่เป็นปกติคือคำว่า ใส่บาตรกับตักบาตร ซึ่งค้านได้ ๑๐๐% จึงมิใช่อริยสัจ มิใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ของที่อยู่ในบาตรพระแล้ว ใครไปตักออกจากบาตรของท่าน ก็เป็นการทำบาป มิใช่ทำบุญ การกระทำทุกอย่างทางกาย วาจา ใจที่เป็นโทษ โดยคิดว่าไม่มีโทษ ก็ยังเป็นโทษ ไปทำบุญมา (ใส่บาตรพระ ใส่บาตรเทโว) จงใช้ปัญญาให้มาก อย่าใช้แต่สัญญา เชื่ออะไรง่าย ๆ โดยขาดเหตุผล พระพุทธศาสนาท่านสอนแต่อริยสัจ สอนให้รู้ให้เชื่อด้วยปัญญา ไม่สอนให้รู้ให้เชื่อโดยขาดปัญญา การจะไปพระนิพพานนั้น หากผิดหรือติดอะไรแม้แต่นิดเดียว ก็ไม่มีทางเข้าแดนพระนิพพานได้เลย
อีกประโยคหนึ่ง ได้ยินกันชินหูคือ อยู่กัน ๒ คน หรืออยู่กัน ๑ ต่อ ๑ กลับไปพูดว่าอยู่กัน ๒ ต่อ ๒ หากได้ยินใครพูดก็จงอย่าไปพูดตามเขา เพราะมิใช่อริยสัจ ปล่อยไปตามกรรมของเขา เราไม่มีเจตนาจะโกหกเขา แต่ก็เหมือนโกหก หากอยู่กันแค่สองคนหรือ ๑ ต่อ ๑ แต่ไปพูดว่าเราอยู่ ๒ ต่อ ๒