ดูแบบคำตอบเดียว
  #73  
เก่า 13-02-2018, 21:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,762 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ในเมื่อความเชื่อเป็นอย่างนี้ สมัยโน้นก็เลยนิยมกัน อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเป็นขันลงหิน ขันลงหินส่วนใหญ่จะตีขึ้นมาจากทองเหลือง หนามาก แล้วใช้หินขัด สมัยโน้นไม่มีเครื่องขัดเครื่องเจียรเหมือนกับสมัยนี้ ต้องใช้เชือกชัก แล้วเอาหินกลม ๆ ที่เป็นพวกหินลำห้วยลำธาร ขัดจนกระทั่งเรียบ ต้องใช้ความอดทนและพยายามสูงมาก ระยะหลังค่อยพัฒนาขึ้นมาเป็นหินลับมีด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นหินทรายเอามาขัด

สมัยก่อนกรุงเทพฯ จะมีบ้านบุ บ้านบาตร บ้านหม้อ พวกนี้ส่วนใหญ่มีอาชีพทำอะไรก็เรียกตามนั้นเลย บ้านบาตรก็มีอาชีพตีบาตร หลอมบาตร รมบาตร บ้านบุก็มีอาชีพบุเงินบุทอง แล้วแต่เขาจะสั่งทำ บ้านหม้อก็ทำหม้อ ถ้าพวกเครื่องปั้นดินเผาก็ต้องที่เกาะเกร็ด จนป่านนี้เกาะเกร็ดก็ยังรักษาชื่อเสียงเรื่องเครื่องปั้นดินเผาไว้ได้ เพราะว่าสมัยโบราณเวลากวาดต้อนพวกเชลยศึกมา ก็จัดสรรที่ให้อยู่จะได้ทำกินกัน ถึงเวลาจะได้เกณฑ์แรงงานได้ง่าย เพราะว่าอยู่รวมกัน

สมัยก่อนพวกมอญมีความชำนาญในการทำเครื่องปั้นดินเผา อย่างสามโคกที่ปทุมธานี แถวนั้นเขาทำเครื่องปั้นดินเผา มีการก่อเตาขึ้นมา คราวนี้ถ้าทำทีละมาก ๆ เตาก็ต้องใหญ่ ถึงเวลาเตาร้างไปก็กลายเป็นดินโคกสูงอยู่ ก่อไว้ ๓ เตาก็กลายเป็นสามโคก พอตอนหลังในหลวงรัชกาลที่ ๒ เปลี่ยนเป็นเมืองปทุมธานี

ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว ตั้งแต่นั้นมาก็เปลี่ยนชื่อจากเมืองสามโคกมาเป็นเมืองปทุมธานี"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2018 เมื่อ 03:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา