หลักการปฏิบัติจริง ๆ ที่เราทิ้งไม่ได้นั้น
อันดับแรก ต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก จะใช้คำภาวนาหรือพิจารณาอย่างไรให้ตามอัธยาศัยของเรา
อันดับที่สอง เมื่อกำลังใจทรงตัวแล้ว เริ่มคลายออกมา ให้หาวิปัสสนาญาณต่าง ๆ มาพิจารณา ไม่อย่างนั้นแล้วกำลังใจที่ทรงตัว มีความเข้มแข็งมาก ก็จะไปใช้ในการฟุ้งซ่านแทน และระงับได้ยากเพราะว่ามีกำลังสูง
อันดับที่สาม ก็คือว่า พยายามรักษาศีลของเราทุกสิกขาบท ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่นเขาทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นเขาทำ
การรักษาศีลนั้น มีหลายท่านสงสัยว่า ถ้าประกอบอาชีพการงานต่าง ๆ อย่างเกษตรกรรม ต้องมีการฉีดยาฆ่าแมลงบ้าง หรือว่าเลี้ยงสัตว์ขายบ้าง แล้วสอบถามมาว่า ถ้าอย่างนั้นจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์อย่างไร ? คงไม่มีหวังเลยใช่ไหม ? ก็ขอยืนยันว่ารักษาได้ โดยที่ให้เรารักษาศีลเป็นเวลา อย่างเช่นว่า ตั้งแต่เลิกงานจนกว่าจะหลับ เราจะรักษาศีลห้าหรือศีลแปดให้บริบูรณ์ แล้วตั้งใจงดเว้นรักษาให้ได้ตามนั้น หรือว่าตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งไปถึงที่ทำงาน เราจะรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เป็นต้น ถ้าสามารถทำได้ ต่อไปกำลังใจที่เข้มแข็งขึ้น ก็จะทำให้เราสามารถรักษาศีลได้นานขึ้น ได้มากขึ้น และละเอียดขึ้น
อันดับที่สี่ ให้ทำความเคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้จริงจังและจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ข้อสุดท้ายที่สำคัญก็คือ ต้องรู้สึกตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย คนที่แก่กว่าเราก็ตายมามากแล้ว คนรุ่นราวคราวเดียวกับเราก็ตายไปบ้างให้เราเห็นแล้ว คนที่อายุน้อยกว่าเราก็ตายให้เห็นแล้ว แม้กระทั่งเด็กเล็ก ๆ ก็ตายให้เห็นแล้ว ดังนั้นเราจะประมาทไม่ได้ ต้องตั้งเป้าไว้เลยว่า ถ้าตายจะไปไหน ซึ่งควรจะกำหนดเป้าหมายสูงสุด ก็คือ ตายแล้วไปนิพพานเอาไว้
ถ้าเราสามารถที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ กำหนดสมาธิภาวนาได้อย่างใจของเรา และรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย ตั้งเป้าว่าตายแล้วไปพระนิพพาน ถ้าท่านทั้งหลายสามารถรักษากำลังใจอย่างนี้ให้ทรงตัวได้ โอกาสที่เราจะก้าวล่วงจากความทุกข์ก็มีมาก แต่ถ้ารักษาไม่ได้ ก็จะต้องเวียนตายเวียนเกิด ทุกข์ยากของเราไป
ดังนั้น..ในการปฏิบัติที่กล่าวมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงบัดนี้นั้น ขอสรุปลงที่ว่า การปฏิบัติต่าง ๆ นั้น ต้องการคนที่ทำอย่างจริงจัง และทบทวนอยู่เสมอว่า เราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ตอนนี้ทำไปถึงไหน ? ใกล้ไกลต่อเป้าหมายสักเท่าไหร่ ? และท้ายสุดให้ก้าวเข้าหาอารมณ์พระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป คือรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์ ทำความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง ตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่จะไปนิพพาน อย่างนี้จึงได้เชื่อว่าท่านปฏิบัติได้ถูกทาง
สำหรับตอนนี้ ก็ให้ทุกคนกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ประกอบกับภาพพระและการพิจารณา ตามแต่ความถนัดของแต่ละคน โดยตั้งกำลังใจไว้ว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ไหน นอกจากบนพระนิพพาน เราเห็นท่านคือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ให้กำหนดรู้ลมหายใจด้วย ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ให้กำหนดรู้คำภาวนาไปด้วย ถ้าไม่มีลมหายใจหรือไม่มีคำภาวนา ก็สักแต่ว่ากำหนดรู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น..มันเป็นอย่างนั้น ให้เอาใจจดจ่อตั้งมั่นอยู่อย่างนี้จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอกหมดเวลา
พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันเสาร์ที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-11-2009 เมื่อ 14:58
|