ชื่อกระทู้: คิริมานนทสูตร
ดูแบบคำตอบเดียว
  #26  
เก่า 05-03-2010, 19:09
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,886 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๐.๒๓ ในอนาคต กุลบุตรที่เลื่อมใส(ศรัทธา)ในพุทธศาสนา สามารถบวชได้แม้ไม่มีพระภิกษุ พระพุทธองค์ทรงประกาศพระศาสนาของพระองค์ไว้เพียง ๕,๐๐๐ ปีโลกมนุษย์ เมื่อพระองค์ทรงเข้าสู่ปรินิพพานไปแล้ว ทุก ๆ ๑๐๐ ปี อายุขัยของมนุษย์จะลดลง ๑ ปี (ขัยอายุในสมัยของพระองค์ ซึ่งเป็นปัญญาธิกะ มีเพียงแค่ ๑๐๐ ปี) ดังนั้นเมื่อครบ ๕,๐๐๐ ปี ขัยอายุของคนจะเหลือเพียง ๕๐ ปี นิสัยคนจะดุร้าย เห็นกันก็จะมุ่งทำร้ายกัน ฆ่ากัน เป็นกายกรรมซึ่งหยาบที่สุด (กรรม แปลว่าการกระทำ) ขออธิบายว่ากรรมแยกเป็น ๓ หมวดคือ

ก) มโนกรรม คนในอดีตมีมโนกรรมดี จึงมีกิเลสตัณหาเบาบาง ฟังเทศน์จากพระองค์ก็บรรลุ มีดวงตาเห็นธรรมกันมากมาย ตั้งแต่พระโสดาบันขั้นต้นไปจนถึงพระอรหันต์ พวกที่แย่ที่สุดก็ขอถึงซึ่งไตรสรณาคมณ์ตลอดชีวิต

ข) วจีกรรม เมื่อพระองค์ทรงเข้าสู่ปรินิพพานไปแล้ว ๒,๕๐๐ ปี (กึ่งหรือครึ่งที่พระองค์ประกาศไว้) พระองค์ก็ทำนายไว้ชัดมีความสำคัญสั้น ๆ ว่า จิตคนจะเสื่อมลง (มโนกรรมเสื่อม) จะเกิดสงคราม ไม่ขอเขียนรายละเอียด

ผมขออนุญาตเสริมว่า กรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า, มีใจเป็นใหญ่ ทุกสิ่งสำเร็จได้ที่ใจ หรือใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว เมื่อใจเสื่อมลง กิเลสขั้นกลางก็ออกฤทธิ์คือ วจีกรรม สงครามที่เกิดขึ้นจะเป็นสงครามใหญ่หรือสงครามเล็กก็ตาม สาเหตุก็มาจากมโนกรรมก่อนทั้งสิ้น มีทิฐิหรือความเห็นไม่ตรงกัน ก็ทะเลาะกัน ด่ากันไปด่ากันมา ซึ่งเป็นวจีกรรม จนที่สุดต้องใช้กายกรรมออกมาประหัตประหารกัน ฆ่ากันตายเป็น ๑๐ ล้านคน สาเหตุก็เพราะมานะทิฏฐิ (มโนกรรม) ต่างกัน มีผลให้เกิด วจีกรรมหรือโรคปากเสียขึ้น แล้วจบลงด้วยการใช้กายกรรมตัดสิน

หากจะย้อนมาดูประเทศไทยเวลานี้ ก็จะเห็นกรรมเหล่านี้กำลังแสดงธรรมให้พวกเราเห็น สร้างความทุกข์ให้กับบุคคลทั้งประเทศ เหตุเพราะทิฐิความเห็นไม่เสมอกัน เกิดโรคปากเสียระบาดไปทั่วประเทศ หากไม่มีในหลวงองค์ปัจจุบันอยู่ ก็คงจบด้วยการใช้กายกรรมตัดสินปัญหาในที่สุด แต่นับว่าเป็นโชคดีของพวกเรา ที่ในหลวง ร.๙ ทรงใช้หลักธรรมในพระพุทธศาสนามาแก้ไข ทำให้เหตุร้ายคลายตัวลง ซึ่งผมคิดว่าคงจะจบลงด้วยดี ด้วยพระบารมีของพระองค์ ผมออกนอกทางไปเล็กน้อย ขอย้อนกลับเข้าเรื่องเดิม

ค) กายกรรม เป็นความชั่วหยาบที่สุด พระองค์จึงบัญญัติศีลพื้นฐานขึ้นมา คือ ศีล ๕ ซึ่งไม่ว่าคนหรือสัตว์ ก็ต้องการสภาวะปกติ ๕ อย่างนี้เป็นพื้นฐาน เพื่อความสงบสุขของคนหมู่มาก คือไม่ฆ่าไม่ทำร้ายกัน, ไม่ขโมยกัน, ไม่แย่งความรักของกันและกัน, ไม่โกหกกันและไม่เอาสิ่งมอมเมามาเสพให้ขาดสติ-สัมปชัญญะกลายเป็นคนบ้าไป

ทรงตรัสย่อ ๆ ว่า “ดูกร..อานนท์ แม้ในปัจฉิมกาล เมื่อหาพระสงฆ์ครบคณะบรรพชาไม่ได้ โดยที่สุดแม้มีภิกษุองค์เดียว เมื่อกุลบุตรมีศรัทธาเลื่อมใสในคุณแห่งเราตถาคต อยากจะบวชเป็นภิกษุในสำนักแห่งภิกษุ องค์เดียวก็จงบวชเถิด

โดยที่สุดลงไปอีก แม้จะหาพระภิกษุสักองค์เดียวไม่ได้ กุลบุตรผู้มีศรัทธาใคร่จะบวชสืบศาสนาแห่งเราตถาคต ก็ให้ศึกษาจตุตถปาราชิก (อาบัติที่ทำให้ขาดจากความเป็นพระภิกษุทั้ง ๔ ข้อ) และปลิโพธ ๒ (ความกังวลภายนอกและภายใน) นั้นให้เข้าใจ แล้วเข้าสู่เฉพาะพระพุทธรูป และพระสถูป หรือพระเจดีย์ หรือแม้หาที่ควรเคารพนั้นไม่ได้ ก็ให้ระลึกถึงเราตถาคตแล้วบวชเป็นภิกษุเถิด

(ปลิโพธหรือปลิโพธิ คือความกังวลใจทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกคือชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน ส่วนภายในคือเรื่องส่วนตัว เรื่องขันธ์ ๕ อันมีขันธมารคอยรบกวน เช่น กลัวตาย, กลัวลำบาก, กลัวเจ็บป่วย สารพัดกลัว จริง ๆ แล้วก็คืออารมณ์ฟุ้งซ่านนั่นเอง)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-03-2010 เมื่อ 03:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา