ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 07-07-2012, 08:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,312 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กายของเราถ้าประกอบด้วยกายสุจริต ก็คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ดื่มสุราเมรัย จะเห็นว่ากวาดเอาศีล ๕ ไป ๔ ข้อแล้ว ในส่วนของวจีสุจริตนั้น ก็คือไม่พูดโกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ จะเห็นได้ว่าในส่วนของศีล ๕ นั้น เติมเต็มไปอีก ๑ ข้อ ครบถ้วน ๕ ข้อพอดี ก็ไปเพิ่มในส่วนของกรรมบถ ๑๐ คือไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดวาจาเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์

ในส่วนของมโนสุจริต คือความดีทางใจนั้น ประกอบไปด้วย ความเป็นสัมมาทิฐิ คือเห็นว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมานั้นถูกต้อง สมควรที่เราจะเร่งปฏิบัติตาม เพื่อให้เกิดผลดีแก่ตนเอง เป็นบุคคลที่ไม่โกรธเกลียดอาฆาตพยาบาทใคร อาจจะโกรธได้ แต่โกรธแล้วต้องไม่ผูกโกรธ หมายความว่าโกรธแล้วต้องลืมได้ และเป็นบุคคลที่ไม่โลภอยากได้ของคนอื่นจนเกินพอดี ถ้าหากว่าอยากได้สิ่งใด ให้หามาให้ถูกต้องตามศีลตามธรรม เป็นต้น

เมื่อเป็นดังนี้ก็แปลว่า ในการที่เราจะรักษากาย วาจา ใจของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์นั้น ประกอบไปด้วยศีลอย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว ถ้าหากว่ากาย วาจา ใจของเราประกอบไปด้วยศีลอย่างสมบูรณ์ สภาพจิตของเราก็จะทรงตัวตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่าย บุคคลที่สภาพจิตทรงตัวตั้งมั่นเป็นสมาธิ จะภาวนาหรือพิจารณาอะไรก็มีความคล่องตัว มีความรู้แจ้งเห็นจริง ปลอดโปร่งไปหมด

ศีลจึงเป็นเบื้องต้นของความดีตามที่ว่ามานี้ จึงสมควรที่พวกเราทุกคนจะทบทวน ระมัดระวังเอาไว้ทุกวัน ถ้าหากพบว่าศีลของเราบกพร่อง ไม่บริสุทธิ์บริบูรณ์ หรือว่าขาดลง ก็ให้ตั้งใจว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ แล้วหลังจากนั้นก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาระมัดระวังรักษาต่อไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2012 เมื่อ 15:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา