ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 23-04-2010, 13:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,800 ครั้ง ใน 34,093 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เนื่องจากว่าความตายนั้นไม่มีนิมิต ไม่มีเครื่องหมาย ไม่ขึ้นอยู่กับอายุ เด็กเล็กกว่าเราก็ตายไปมากแล้ว คนรุ่นเดียวกับเราก็ตายไปให้เห็นมากต่อมาก คนอายุมากกว่าเรายิ่งไม่ต้องกล่าวถึง ตายไปมากเหลือเกินแล้ว เราเองนั้นก็จะต้องตายเช่นกัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า สัตว์โลกเกิดมาเท่าไรตายหมดเท่านั้น แต่ว่าการเกิดใช้ระยะเวลาที่สั้นกว่า คือใช้เวลาในการปฏิสนธิ ๑๐ เดือน ไม่เหมือนกับการตายที่ใช้ระยะเวลา ๖๐ - ๗๐ ปี ถ้าหากว่าไม่ใช่อุปฆาตกรรมมาตัดรอน เมื่อระยะเวลาห่างกันมาก จึงทำให้เรารู้สึกว่าเกิดมากกว่าตาย แต่ความจริงไม่ว่าใครเกิดมาก็ต้องตาย สุดท้ายเกิดเท่าไรก็ตายหมดเท่านั้น แล้วความตายนี้ยังอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้าไปใหม่ก็ตายอีกเช่นกัน

เมื่อความตายใกล้ชิดกับเราขนาดนี้ จึงเป็นเรื่องปกติที่เราจะประมาทไม่ได้ จำเป็นต้องเร่งขวนขวายเตรียมพร้อมให้มากที่สุด ความตายที่แท้จริงแล้วไม่ใช่ของน่ากลัว เป็นเพียงการเปลี่ยนรูปเปลี่ยนขันธ์ไปเท่านั้น ถึงเวลาบุญบาปที่เราสร้างมา ก็นำพาเราไปสู่ภูมิต่าง ๆ ตามการกระทำของตน

เมื่อเป็นดังนั้น การเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏสงสาร จึงเปรียบเสมือนกับบุคคลที่เดินทางไกล โดยเฉพาะถ้าท่านทั้งหลาย ที่ยังไม่มั่นคงต่อจุดหมายปลายทาง เท่ากับว่าเป็นการเดินทางไกลที่มองไม่เห็นจุดหมายเลย เมื่อเป็นอย่างนั้น เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมพร้อมให้มากที่สุด คือการสั่งสมคุณความดีให้มากที่สุด อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วเมื่อวันก่อนว่า บุญทั้งหลายนั้นมี ๑๐ อย่างด้วยกัน แต่บุญใหญ่จริง ๆ นั้นอยู่ที่ทาน ศีล ภาวนา หรือถ้าจะเอาตรงตามหลักสิกขาก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งสามารถกระจายออกได้เป็นมรรค ๘ นั่นเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
สมาชิก 54 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา