เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาท ในแต่ละวันก็ให้ทบทวนดูว่า ศีลของเราทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์หรือไม่ ? ถ้าหากว่าศีลทุกข้อสามารถงดเว้น ระวังรักษาได้สมบูรณ์แล้ว เราได้ยุให้คนอื่นละเมิดศีลหรือไม่ ? เมื่อเรารักษาศีลทุกข้อได้สมบูรณ์ ไม่ได้ยุยงให้ผู้อื่นละเมิดศีล เมื่อเห็นคนอื่นละเมิดศีลเรามีความยินดีอยู่หรือไม่ ? ถ้าเราสามารถรักษาศีลได้ครบถ้วนสมบูรณ์ทุกสิกขาบท ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นทำลายศีล และไม่ยินดีเมื่อพบเห็นผู้อื่นทำลายศีล ก็ได้ชื่อว่าเราเป็นผู้ปฏิบัติในอธิศีลสิกขาได้สมบูรณ์บริบูรณ์
ในส่วนของอธิจิตสิกขาหรือการศึกษาระดับที่ ๒ นั้น ก็คือ การที่เราต้องชำระจิตใจของตนเองให้ผ่องใสจากกิเลส ด้วยการใช้สมาธิภาวนาเข้าช่วย ถ้าหากว่าทุกท่านตั้งใจกำหนดลมหายใจเข้าออก จนอารมณ์ทรงตัวมั่นคง เป็นอัปปนาสมาธิระดับใดระดับหนึ่งก็ตาม ตั้งแต่ปฐมฌานเป็นต้นไป จนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานเป็นที่สุด ไม่ว่าจะลำดับใดในฌานทั้ง ๘ ลำดับนี้ ถ้าท่านทำได้ ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงอธิจิตสิกขา กำลังใจมีความมั่นคง ถ้าสามารถรักษาระดับไว้ไม่เสื่อมถอย ก็แปลว่าเราเป็นผู้ปฏิบัติในอธิจิตสิกขาได้สมบูรณ์
ส่วนข้อสุดท้ายของการศึกษานั้น เป็นอธิปัญญาสิกขา คือการพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงว่า สภาพร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ตลอดจนวัตถุธาตุทั้งหลายทั้งปวงก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีความสลายตัวไปในที่สุด
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
|