ดังนั้น...ทุกวันที่เรามาทำ เราต้องรู้ด้วยว่าเราทำอะไร เพื่ออะไร ไม่อย่างนั้นแล้วเราก็เปะปะไปเรื่อย พอเปะปะไปเรื่อย ไม่รู้ผลที่เราทำยังไม่พอ ไม่รู้เหตุด้วยว่าทำอะไร เพื่ออะไร ก็จะทำให้เราซังกะตาย ทำไปวันหนึ่ง ๆ แล้วพอถึงเวลายังไม่รู้จักดูว่า ทำแล้วมีความก้าวหน้าตรงไหน ก็จะทำให้เราท้อถอย หมดอารมณ์ที่จะทำ แล้วก็ยอมปล่อยตัวเองให้จมอยู่ในห้วงทุกข์ต่อไป
นี่คือสิ่งที่อยากจะบอกกับพวกเราไว้ในขั้นต้น ว่าสิ่งที่เราทำมานี้เราทำอะไร เพื่ออะไร มีขั้นตอนอย่างไร และเชื่อว่ายังจำกันไม่ได้หรอก ที่ว่ายังจำกันไม่ได้เพราะว่าต้องทำไปถึงตรงนั้นก่อน แล้วขั้นตอนเหล่านี้ถึงจะซึ้งอยู่ในใจของเรา ไม่อย่างนั้นความจำที่เป็นอนิจจัง คือไม่เที่ยง ก็จะพาให้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้หายหกตกหล่นไปเฉย ๆ
อาตมาเองสมัยปฏิบัติธรรมใหม่ ๆ อาศัยหนังสืออยู่ ๓ - ๔ เล่ม มีประวัติหลวงปู่ปาน กรรมฐาน ๔๐ คู่มือปฏิบัติกรรมฐาน มหาสติปัฏฐานสูตร เป็นต้น อ่านทวนอยู่ทุกเช้า เช้าละบท หรืออาจจะกำหนดว่ากี่หน้ากี่วรรคสำหรับหนังสือที่ไม่มีบทตอน เป็นการอ่านไปพร้อมกับกำหนดภาวนาไป เพราะฉะนั้น..หนังสือทั้งเล่มคือคำภาวนา เมื่ออ่านไปภาวนาไป กำลังใจก็จะทรงตัวได้เร็ว เท่ากับว่าช่วยโยงใจของเราให้เป็นสมาธิ แล้วก็มาปฏิบัติต่อไป
พอชอบใจตรงไหนก็ไปขีดเน้นเอาไว้ ปรากฏว่ามาตอนหลังถึงได้รู้ว่าทำได้โง่มาก เพราะว่าหลักธรรมที่ชอบใจของเรา ก็คือกำลังใจของเราเริ่มเข้าถึงระดับนั้น เราก็จะรู้สึกว่าดีเหลือเกิน เหมาะเหลือเกินสำหรับเรา แต่พอไปอ่านทวนรอบใหม่ก็ “อ้าว..ตรงนี้ก็ดี แล้วหายไปไหน ? ตอนนั้นเราข้ามไปได้อย่างไร ?” คือตอนนั้นกำลังใจของเรายังไม่ถึง ทำให้เราข้ามไปเฉย ๆ เหมือนกับมองไม่เห็น แบบเดียวกับที่อาตมาพูด โยมได้ยิน แต่ได้ยินเฉย ๆ ไม่ลึกเข้าไปในใจของตนเอง เพราะว่าบางคนยังทำไม่ได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-11-2013 เมื่อ 09:48
|