การดำรงชีวิตอยู่ในร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์ ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ ถึงจะไม่เที่ยงก็ช่างเถอะ ถึงจะทุกข์ก็ช่างเถอะ ถึงไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราก็ช่างเถอะ เราจะอยู่กับร่างกายแค่ชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น เมื่อพ้นจากชาตินี้แล้ว ขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่มามีร่างกายอย่างนี้ เราไม่ต้องการอีกแล้ว เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน
ถ้าเห็นว่าชาตินี้เป็นเรื่องที่ยาวนานเกินไป ก็เอาใกล้เข้ามาอีกหน่อย ว่าเราจะอยู่กับร่างกายนี้แค่วันนี้เท่านั้น พรุ่งนี้ไม่ทราบว่าเราจะได้ตื่นขึ้นมาเห็นตะวันขึ้นอีกหรือไม่ เราจะได้ลืมตาดูโลกอีกหรือไม่ เราอาจจะตายเสียก่อนก็ได้ ถึงจะตายลงไปก็ตามที เราต้องการที่เดียวคือเราพระนิพพาน เอาใจจดจ่ออยู่กับพระนิพพานเอาไว้
ถ้าเห็นว่าวันนี้ยังยาวนานเกินไป ก็เอาแค่ชั่วลมหายใจเข้าออก ถ้าหายใจเข้าไม่หายใจออก..เราก็ตาย หายใจออกถ้าไม่หายใจเข้า..เราก็ตาย ในเมื่อเราอยู่กับร่างกายนี้แค่ชั่วลมหายใจเดียว ทำไมเราจะอยู่อย่างมีความสุขไม่ได้ เพราะว่าเราจะพ้นไปอยู่แล้ว
ถ้าหากว่ากำลังใจของท่านตั้งมั่นดังนี้ จิตใจจะไม่ไปกลัดกลุ้มกับความทุกข์ มีแต่ความยินดีเหมือนอย่างเช่นนักโทษประหารที่เขาจะปลดปล่อยเรา เราจะหลุดพ้นไปอยู่แล้ว กำลังใจจะมีแต่ความสดชื่นรื่นเริง ไม่ไปจมอยู่กับกองทุกข์ เห็นความเป็นธรรมดาว่าการเกิดมาต้องเป็นดังนี้ แต่เราจะไม่ขอเกิดอีก
ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนสภาพจิตจดจำแน่วแน่มั่นคงและยอมรับ ถ้าอย่างนี้แล้วทุกท่านมีสิทธิ์หลุดพ้นไปสู่พระนิพพานได้
สำหรับตอนนี้ ขอให้ทุกท่านกำหนดความรู้สึกทั้งหมด อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก พร้อมกับคำภาวนาหรือภาพพระของเรา จะหายใจแรงหรือเบา ยาวหรือสั้น ให้กำหนดรู้ตามไป ลมหายใจจะมีหรือไม่มี คำภาวนาจะมีหรือไม่มี กำหนดรู้ตามไป ให้กำลังใจเราแน่วแน่มั่นคงอย่างนี้เอาไว้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันอาทิตย์ที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๓
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2010 เมื่อ 02:05
|