ดูแบบคำตอบเดียว
  #13  
เก่า 12-08-2011, 16:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,206 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องกาลเทศะว่า "การดำเนินชีวิตของบุคคล กาลเทศะเป็นสิ่งสำคัญมาก กาละ คือ เวลาเหมาะสม เทศะ คือ สถานที่อันเหมาะสม ถ้ารู้กาลเทศะเราก็จะไม่ทำให้เสียหาย

พระอานนท์เป็นเอตทัคคะด้านอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ท่านรู้ว่าเวลาไหนควรจะพาบุคคลเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เวลาไหนจึงไม่ควร ท่านจึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในเรื่องของการรู้กาลเทศะ อีกประการหนึ่ง..พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ในสัปปุริสธรรม ๗ ประการ คือ กาลัญญุตา รู้ว่ากาลใดควร กาลใดไม่ควร

ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักไม่รู้กาลเทศะ ยกตัวอย่างคุณเต้ยไปหล่อหลวงพ่อเหลือ ที่วัดธรรมยาน คุณเต้ยใส่เสื้อแขนกุดกับกางเกงขาสั้นไป ทุเรศสุด ๆ..! เขาเรียกว่าไม่รู้กาลเทศะ เราจะไปเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน แต่งตัวอย่างนั้นยังถือว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง แล้วพระพุทธเจ้ายิ่งกว่าพระเจ้าแผ่นดินอีก แต่งตัวทุเรศอย่างนั้นยังอุตส่าห์ไปได้..!

พอใครถามก็ดันไปอวดว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพี่สมปอง ลูกศิษย์หลวงพี่เล็ก ฟังแล้วตูจะเป็นลม..! ส่วนเวลาที่ไม่จำเป็น ดันแต่งตัวซะหล่อ เวลาที่ดีที่สุดกลับแต่งตัวทุเรศที่สุด เพราะฉะนั้น..เรื่องกาลเทศะเป็นเรื่องสำคัญมาก อย่างที่บอกว่า ปัจจุบันคนเราเอาความสบายส่วนตัว จนลืมความเหมาะสมไปแล้ว

แม้กระทั่งไปเคารพพระบรมศพ ยังเห็นเขาใส่กระโปรงกางเกงสั้นจู๋ ถึงแม้จะเป็นสีดำก็ตามเถอะ ลักษณะอย่างนั้นเรียกว่าไม่ให้เกียรติคนตาย เราจะเห็นว่างานศพระยะหลัง ๆ จะใส่สั้นกัน มากต่อมากด้วยกันที่แต่งตัวลักษณะไปเดินอวดกัน ไม่ได้ไปเคารพศพ การปฏิบัติธรรมยิ่งทำไปใจต้องยิ่งละเอียด ต้องรู้ว่าอะไรเหมาะ อะไรควร ไม่ใช่ยิ่งทำก็ยิ่งเละ..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-08-2011 เมื่อ 16:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา