ดูแบบคำตอบเดียว
  #10  
เก่า 11-05-2010, 09:29
ปราโมทย์ ปราโมทย์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
สถานที่: Ratchaburi & Kanchanaburi
ข้อความ: 53
ได้ให้อนุโมทนา: 127,894
ได้รับอนุโมทนา 20,053 ครั้ง ใน 820 โพสต์
ปราโมทย์ is on a distinguished road
Default

เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒

"ธรรมะของพระพุทธเจ้า
มีสติระลึกรู้อยู่ ไม่ว่าจะ ยืน – เดิน – นั่ง – นอน – ดื่ม – กิน – คิด – พูด – ทำ"


*อ้างอิงเพิ่มเติม
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เถรี อ่านข้อความ
ท่านอาจารย์หยุดฟังเสียงท่านเอ๊ดประชาสัมพันธ์ จบจบแล้วจึงกล่าวว่า "พระมีศีลอยู่ข้อหนึ่งว่า ห้ามแสดงธรรมพร้อมกัน ภิกษุแสดงธรรมพร้อมกันปรับอาบัติปาจิตตีย์ ศีลขาดฟรี ๆ

คำว่าแสดงธรรมพร้อมกัน จริง ๆ แล้วก็คือแข่งกันพูด จนโยมไม่รู้จะฟังใครกัน เพราะฉะนั้นในเรื่องของศีล ถ้าหากว่าญาติโยมทั้งหลายยังปฏิบัติไปถึงระดับที่ว่า ขยับตัวเมื่อไรรู้ว่าศีลจะขาดหรือไม่ ถ้ายังทำไม่ถึงระดับนี้ถือว่าใช้ไม่ได้ แต่ถ้าทำมาถึงระดับว่า ขยับตัวเมื่อไรรู้ว่าศีลเราจะขาดหรือไม่ ก็พอจะอาศัยได้ แต่ยังไม่แน่ว่าจะรอด

อย่าลืมว่าศีลเป็นบทเริ่มต้นของการปฏิบัติ ในสิกขา ๓ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเพื่อไม่ให้เราหลงทาง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ สรุปลงเหลือ ศีลสิกขา การศึกษาและปฏิบัติในเรื่องศีล จิตตสิกขา การศึกษาและปฏิบัติในสมาธิ และปัญญาสิกขา การศึกษาและปฏิบัติตามหลักปัญญาพิจารณา

เพราะฉะนั้น..นี่เป็นการบ้านใหญ่ที่ฝากพวกเราไว้ ทำอย่างไรที่เราจะมีสติระลึกรู้อยู่ ไม่ว่าจะยืน เดิน นอน นั่ง ดื่ม กิน คิด พูด ทำ ที่เรียกว่า นวจริยา


หมายเหตุ : นวจริยา คือ อิริยาบถ ๙ อย่าง ได้แก่ ยืน เดิน นอน นั่ง ดื่ม กิน คิด พูด ทำ
จาก http://www.watthakhanun.com/webboard...ead.php?t=1813

และ
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ vanco อ่านข้อความ
ตอนที่เข้าไปเป็นทหารใหม่ ๆ ไปอยู่กองโรงเรียน ตี ๕ เขาปลุก กว่าจะได้พักก็ ๓ ทุ่ม เขาให้เวลาทำความสะอาด ซักเสื้อ ซักผ้า ขัดรองเท้า ขัดเครื่องหมายทุกชิ้นให้เงาวับภายในเวลา ๑๕ นาที แล้วเป่านกหวีดให้นอน แปลว่า ๓ ทุ่ม ๑๕ ต้องนอน ๔ ทุ่มจะเป่าให้ฝึกยุทธวิธีการรบเวลากลางคืน แล้วจะจบประมาณตี ๒ คราวนี้ไปรีบนอน ตี ๕ ปลุกใหม่ แปลว่าเราจะมีเวลาพักจริง ๆ ประมาณ ๓ ชั่วโมง หมายถึงว่า หงายหลังไปต้องหลับเลย

อาตมาเองเคยยืนหลับ ฝึกท่าอาวุธอยู่ เขาสั่งเรียบอาวุธปึ๊บไม่ทันเข้าร่องไหล่ มันหลับ ส่วนอีกทีหนึ่งหลับแล้วได้ดี ก็คือ ช่วงเขาเป่านกหวีด เราต้องไปห้องน้ำห้องส้วม ล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำ จนกระทั่งไปเข้าแถวเรียบร้อย ๓ นาที คราวนี้มันไม่ทัน ไม่ทันก็โดนซ่อม ซ่อมด้วยการลงโทษ นั่งกระโดด(สก๊อตจั๊มป์) วิดพื้นบ้าง ก็แอบใส่ถุงเท้าไว้ก่อน ใส่ชุดไว้ก่อน ปรากฏว่าก่อนตี ๕ ครูฝึกดันมาไล่คลำตีนทีละตีน พอเจอเข้าก็จดชื่อไว้ พอถึงเวลาต้องไปเล่นกายบริหารต่างหาก อาตมาโดนจด เพราะวันนั้นใส่ถุงเท้าไปก่อน

พอ ๓ ทุ่ม ๑๕ เสียงเป่านกหวีดให้นอน เราหงายผลึ่งหลับไปเลย ไม่รู้หลับตอนไหน ตื่นขึ้นมากระซิบถามเพื่อน "เฮ้ย เขาไม่ได้เรียกเหรอ" เพื่อนบอก " เรียก แล้วมึงไปไหนมา " กูหลับ....

แล้วในประวัติศาสตร์ ไม่มีใครกล้าเบี้ยว เขาก็เลยไม่เช็ค คิดว่ามาครบ ถ้าเขารู้ว่าเราเบี้ยว โดนตัดหลายแต้ม

ตั้งแต่เข้าไปเรียน คุณได้ ๑๐๑ แต้ม แล้วจะโดนตัดไปเรื่อยตามความผิดหนักเบาของเรา ต่อให้คุณสอบผ่านหมดทุกอย่าง ถ้าแต้มไม่เหลือเขาปรับตก ส่วนที่ตัดแต้มมากที่สุด มักเป็นเรื่องการเคารพอาวุโส หรือเคารพผู้เป็นครูบาอาจารย์ เพราะฉะนั้นระบบ seniority ของทหารมันจึงได้เข้มข้นมาก เพราะเขาฝึกมาตั้งแต่ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นโดนตัดที ๒ แต้ม ๕ แต้ม แทบนั่งร้องไห้ มันอาจจะหมายถึงว่าเรียนฟรี...รุ่นของอาตมานี่ตกไป ๖ คน

ที่เล่าให้ฟังเพื่อที่จะย้อนกลับมาพูดตรงที่ว่า มันมีเวลานอนแค่ ๓ ชั่วโมง แต่เรารู้ว่าเราต้องภาวนา เพราะฉะนั้นถึงเวลาตี ๓ มันต้องตื่นขึ้นมาภาวนา เราต้องสละเวลานอนตัวเองมาเพื่อทำ ไม่อย่างนั้นแล้วอารมณ์ของเราที่รักษาไว้ดี ๆ มันจะพังบรรลัยหมด ถ้ากิเลสมันกินใจเราได้ กว่าจะไล่มันออกไปเป็นเรื่องยากเหลือเกิน ใครที่เคยรักษาอารมณ์ผ่องใสได้นาน ๆ แล้วอยู่ ๆ ขุ่นมัวไป เพราะรักโลภโกรธหลง จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายขนาดไหน

เพราะฉะนั้นเราจะไม่ยอมเด็ดขาดที่จะให้มันมาแย่งเอาความผ่องใสของใจไป มีวิธีเดียวก็คือ ต้องสละเวลานอนขึ้นมาขัดถูทำความสะอาดมันให้ผ่องใสให้ได้

ปรากฏว่า เพื่อนมันก็มีความสามารถ ฉันทะมันเหลือเฟือ เราตื่นตี ๓ มันตื่นด้วย เรานั่งกรรมฐาน มันก็คลานมารอบเตียง "หลวงพ่อขอเลข ๒ ตัว" คิดดูแล้วกันว่าฉันทะมันขนาดไหน เหนื่อยจนรากเลือดมาด้วยกัน แทนที่จะนอน มันก็ไม่นอนหรอก มันก็ตื่นมากวนเรา มันสุดยอดมนุษย์จริง ๆ ถึงได้บอกว่า จริง ๆ พวกเรามาถึงระดับนี้แล้วกำลังใจทุกส่วนของเรา มันเหลือเฟือแล้วที่จะสร้างความดี เพียงแต่ว่าเราเปลี่ยนจุดมันหน่อย ให้เห็นความสำคัญของการทำความดี

ให้เห็นว่าเวลาของเราที่มีสำคัญ เพราะเวลาของเรามีแค่ชั่วลมหายใจเดียว หายใจเข้า...ถ้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออก...ถ้าไม่หายใจเข้าก็ตาย แล้วถ้าเราตายตอนที่ไม่มีความดีอยู่ในใจนั้น ลองว่าได้ลงอบายภูมิไปใช้หนี้เก่าทั้งหมด มันมะรุมมะตุ้มเราแย่แน่

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในกัปป์นี้ผ่านไปแล้วยังไม่แน่เลยว่าจะขึ้นมาได้ ในเมื่อมันเป็นอย่างนั้นเราจะนอนสบายดี หรือจะยอมลำบากลุกขึ้นมาภาวนาดี เพราะถ้าเรายอมลำบาก เราลำบากชาติเดียว เวลาความเป็นมนุษย์ไม่เกินร้อยปีตายแน่ เปรียบกับการเวียนตายเวียนเกิดนับกัปไม่ถ้วน มันทุกข์ยากลำบาก เรื่องแค่นี้เราจะทนลำบากไม่ได้

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า เราเหมือนอยู่ในเรือนที่ไฟกำลังไหม้ แทนที่เราตั้งหน้าจะตะเกียกตะกายหนีไฟ เรากลับไปนอนสบายสมควรตายไหมล่ะ

เรายิ่งไม่มีเวลาเรายิ่งต้องสละทุ่มเทให้กับมัน เหมือนกับที่อาตมาไม่มีเวลานอน ที่ยอมสละลุกขึ้นมาภาวนา พอถึงเวลารวมแถวก็เริ่มออกวิ่ง วันหนึ่ง ๑๕ กิโลเมตร แล้วแต่ครูฝึก แต่เราไม่หวั่น ซ้ายพุท ขวาโธ ลงตัวพอดีเป๊ะเลย

ทำอย่างไรที่พวกเราจะฉวยทุกอิริยาบถของเรา ทุกเวลาของเรา ยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ ใช้เวลาทั้งหลายเหล่านั้นควบกับการภาวนาไปด้วย

การบ้านนี้อาจจะยากไปหน่อยแต่ขอยืนยันว่าถ้าทำการบ้านนี้ได้สอบได้ทุกคน ถึงแม้จะไม่ได้เกรด a อย่างน้อยไม่ขี้เหร่ถึง c ถึง d แน่นอน ช่วยรับไปแล้วทำด้วย

อาตมาเองก็รู้ตัวว่าแก่เต็มทีแล้ว เหนื่อย...พอหงายหลังก็สลบ ก่อนหน้านี้จะตื่นก่อนนาฬิกาปลุก ๕ นาที แต่เดี๋ยวนี้นาฬิกาดัง มันเสียงอะไรวะ...มันเพลียจนไม่มีแรงจะลุก

ก่อนหน้านี้พอหมดสภาพแล้วมันตื๊อต่อได้เป็นวัน ๆ แต่เดี๋ยวนี้หมดแล้วมันหมดเลย หงายลงไปก็ได้ก็หลับเลย พุท ไม่ทันจะโธ ก็ไปแล้ว
จาก http://board.palungjit.com/f61/ชีวิต...ml#post2667796

ขอบพระคุณ คุณเถรีและคุณสุรจิตรและคุณ Vanco (เว็บพลังจิต)
__________________
จิตเกษม ต้องอยู่ใน ๑๗๕,๓๐๐ ให้ได้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 20-05-2010 เมื่อ 02:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 92 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ปราโมทย์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา