ประวัติและคำสอนของหลวงปู่สิม (หน้า ๓)
ในที่สุดเมื่ออายุได้ ๑๗ ปี จึงได้ขอบิดามารดาบรรพชาเป็นสามเณร
ณ วัดศรีรัตนาราม (เป็นวัดมหานิกาย) ณ บ้านบัวนั่นเอง
ต่อมาคณะกองทัพธรรมของหลวงปู่มั่นได้เดินธุดงค์มาจากหนองคาย
โดยเดินทางมาถึงวัดศรีสงคราม จังหวัดนครพนม สามเณรสิมจึงได้มีโอกาสเดินทางไปฟังธรรม
ทั้งจากท่านอาจารย์ มั่น ภูริทัตโต
ท่านอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม และ
ท่านอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล
ท่านบังเกิดความเลื่อมใสอย่างมาก จึงตัดสินใจขอถวายตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น
และได้ญัตติเป็นฝ่ายธรรมยุติ โดยมีท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์
ที่วัดป่าสามผง จังหวัดนครพนม
หลังจากนั้นท่านได้ร่วมขบวนธุดงค์ ติดตามท่านอาจารย์มั่น
จากจังหวัดนครพนม ไปยังจังหวัดอุบลราชธานี
ต่อมาเมื่ออายุครบบวช สามเณรสิมจึงได้เข้าพิธีอุปสมบท
ณ วัดศรีจันทราวาส อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
มีท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์ (จันทร์ เขมิโย) เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์
และพระปลัดดวงจันทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้เดินธุดงค์ติดตามพระอาจารย์สิงห์
ไปจำพรรษาที่วัดป่าเหล่างา จังหวัดขอนแก่น
ที่นี่ท่านได้รับการอบรมกรรมฐานบทแรกอย่างถึงใจ
คือมีอยู่วันหนึ่งฝนตกหนัก ชาวบ้านออกมารองน้ำฝนและเล่นน้ำฝน
เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาที่ท่อรองน้ำฝน เป็นผลให้มีคนตาย ๒-๓ คน
เขาเอาศพมาฝังในป่าช้า พอฝังไปได้ ๓-๔ วัน ท่านพระอาจารย์สิงห์ก็พาพระเณรไปขุดศพขึ้นมา
หลวงปู่สิมเล่าด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
ขุดขึ้นมาใส่กองไฟเขียวอื๋อเลยละ เขียวเหมือนเทา สภาพศพกำลังเน่า
หนังตอนนั้นยังเหนียวอยู่ยังไม่แตก เหม็นไม่ต้องบอกละ เต็มจมูกทุกองค์ ได้อสุภะกันหมด
ถ้าได้สักศพเอามาเผาที่ถ้ำผาปล่อง เณรน้อยน่ากลัวจะไม่ยอมอยู่ละ
นี่แหละคือร่างกาย หลวงปู่พูดเนือย ๆ อย่างปลงตกแล้วโดยสิ้นเชิง
บางครั้งบางสมัยมันก็ต้องดม ครูบาอาจารย์เพิ่นทำ เราจะหลบไปทางอื่นก็ไม่ได้ ก็ต้องดมไปด้วยกัน
ท่านเล่าประสบการณ์ที่ท่านได้อสุภกรรมฐานอีกตอนหนึ่งว่า
ศพที่เก็บไว้ ๔-๕ วันก่อนจะเผานั้น ถ้าสมณะนักบวชเรายังไม่เคยเห็นก็อาจจะไม่รู้สึกอะไร
แต่ผู้ที่เคยดูศพอย่างนั้นมาแล้ว จะนึกได้ว่าพอเปิดฝาโลงเท่านั้นแหละ
จะเป็นน้ำมันท่วมขึ้นมาตั้งครึ่งโลง (สมัยก่อนยังไม่มีฟอร์มาลีนฉีด ศพก็จะเน่าไปตามกาลเวลา)
แมลงวันไม่รู้มาจากไหน ไม่ต้องมีใครไปเชื้อเชิญละ มาจับสบงจีวรเต็มไปหมด
เวลาไปชักบังสุกุลเสร็จ ดมซากศพเสียไม่รู้ว่ากี่ลมหายใจ
นี่แหละร่างกายนั้น พระพุทธองค์ท่านจึงทรงสอนให้กำหนดเป็นอสุภกรรมฐาน
อย่าไปเห็นเป็นรูป ไม่ว่ารูปหญิงรูปชาย ให้เข้าใจว่าเป็นอันเดียวกัน ไม่มีใครสวยใครงามกว่ากัน
สมมติโลกว่าสวยงาม สมมติธรรมมันไม่มีสวยงาม อสุภัง มรณัง ทั้งนั้น
ถึงมันจะยังไม่ตายตอนเด็กตอนหนุ่มก็เถอะ
ไม่นานละ มันก็ทยอยตายไปทีละคนสองคน หมดไป สิ้นไป ไม่เหลือ
__________________
การรักษากำลังใจสำคัญที่สุด...ได้ดีอย่าฟู แล้วขณะเดียวกันว่า ถ้าได้ร้ายก็อย่าฟุบ ให้เห็นว่ามันเป็นปกติของมัน เรื่องของมัน
ถ้ามันดีมาพออาศัยได้ก็ดีกับมันไป ถ้าหากว่ามันไม่ดีมา เราอยู่กับมันก็ให้รู้อยู่มีสติอยู่ ถึงเวลาก็ต่างคนต่างไปอยู่แล้ว...
กำลังใจของเราพลาดแม้แค่วินาทีเดียวนี่ อาจจะหมายถึงแพ้ทั้งกระดาน
อะไรมันก็ไม่เจ็บปวดเท่ากับต้องเกิดใหม่ มันเป็นทุกข์ เป็นโทษสุด ๆ จริง ๆ
กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๕๑
|