ดูแบบคำตอบเดียว
  #5  
เก่า 21-01-2012, 09:13
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๙. “ให้ระวังอารมณ์จิตของตนเข้าไว้ อย่าได้หวั่นไหวกับข่าวลือทั้งปวง (รวมทั้งวันแห่งความรัก หรือวันวาเลนไทน์ด้วย) แล้วให้เห็นเป็นธรรมดาของโลก เกาะติดเท่าไหร่ทุกข์ก็เกิดกับจิตมากเท่านั้น ให้วางโลกธรรมทิ้งเสีย ค่อย ๆ ทำไป สิ่งเหล่านี้จิตมันเกาะติดมานาน ก็ต้องเพียรละอย่างจริงจัง รักษากำลังใจให้ตั้งมั่นว่า เราจักทำทุกสิ่งเพื่อพระนิพพาน อย่าให้อารมณ์ปรุงแต่งของตนเอง ทำร้ายจิตของตนเอง เพราะจักให้ท้อแท้หมดกำลังใจไปทุกเรื่อง เวลานี้พวกเจ้ากฎของกรรมให้ผลอยู่ ก็ต้องรับผลตามวาระกฎของกรรม แต่ถ้าหากรู้จักใช้สถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ ความก้าวหน้าของจิตก็จักเกิดขึ้นได้อย่างเห็นได้ชัด เรื่องทั้งหมดขอให้พิจารณาลงว่าเป็นกฎของกรรม ไม่มีใครทำให้อย่างนี้ มีแต่ตัวเราเองนั่นแหละเป็นผู้ทำกรรมอย่างนี้ไว้เอง เมื่อวาระกรรมเก่ามันเข้ามาถึง จะรับหรือไม่รับก็ต้องเจอ มันหนีกันไม่พ้น จักต้องทำจิตให้เข้มแข็งอดทน จนกว่าวาระกฎของกรรมมันจักผ่านพ้นไป นี่แหละเจ้า ให้รู้จักถามจิตแล้วให้จิตตอบ พิจารณาไปจนกว่าจิตจักยอมรับกฎของกรรมอย่างจริงใจ เมื่อนั่นแหละ จักมีปัญญาเกิดขึ้นมาตัดกิเลส”

๑๐. “การเกิดมาในโลกนี้ไม่มีใครหนีกฎของกรรมพ้นไปได้ ยิ่งหนียิ่งทุกข์ เพราะดิ้นมากจิตยิ่งรุ่มร้อน แต่ถ้าหากยอมรับนับถือในกฎของกรรม จิตก็จักไม่ทุกข์ ค่อย ๆ พิจารณาไป แล้วจิตจักเกิดปัญญาขึ้นได้ และสิ่งสำคัญจักต้องประคองกำลังใจของตนเองเข้าไว้ อย่าให้ตกเป็นอันขาด เช่น ร่างกายทรุดโทรมลงไป ก็เพราะวัยมันสูงขึ้น ความแข็งแรงก็ลดน้อยลง เป็นธรรมดาของร่างกาย ให้วางอารมณ์จิต กายทำงานได้แค่ไหนก็ให้พอใจแค่นั้น อย่าให้ขาดทุน ส่วนงานทางจิตจุดนี้ต้องเร่งหนัก เพราะจิตไม่เหนื่อย ไม่ต้องพักอย่างกาย หากรู้จักเดินสายกลางเอาไว้ ยิ่งร่างกายไม่ดี ยิ่งจักต้องรักษากำลังใจ หรือปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้นด้วยความไม่ประมาทในชีวิต ยิ่งร่างกายแสดงความไม่เที่ยงให้เห็นชัดเท่าไหร่ ก็ยิ่งจักต้องพยายามตัดห่วง ตัดกังวล ตัดอาลัยทั้งหมด ให้พยายามชำระจิตให้ผ่องใส มุ่งไปสู่พระนิพพานจุดเดียวเท่านั้น จำไว้ชีวิตของคนเราเกิดคนเดียว ตายก็ตายคนเดียว อย่าไปห่วงใยใครทั้งหมด เพราะในขณะที่ใกล้จักตายแล้ว ไม่มีใครช่วยเราได้ แม้แต่เราเองก็ช่วยใครไม่ได้ ตนเท่านั้นแหละที่เป็นที่พึ่งแห่งตน ให้มุ่งชำระจิตของตนเองเพื่อไปในถิ่นที่ตนต้องการ ต้องการพระนิพพานจักต้องลดละซึ่งกิเลสคือ ความโกรธ โลภ หลงให้หมดไปด้วย และในขณะเดียวกัน อย่าทิ้งภาพกสิณพระนิพพาน ตราบใดที่สังโยชน์ ๑๐ ไม่ขาดสะบั้น ทางลัดก็จงอย่าทิ้ง (รู้ลม รู้ตาย รู้นิพพาน) เพราะไม่แน่ใจว่ากรรมปาณาติบาต จักมาตัดรอนชีวิตของร่างกายเมื่อไหร่”

๑๑. “ต้องหมั่นถนอมสุขภาพของร่างกายตนเองเอาไว้ด้วย อย่าพึงตรากตรำ หรือเบียดเบียนร่างกายของตนเองให้มากเกินไป ให้พิจารณาว่า จักอยู่อย่างไรกาย-วาจา-ใจ จักไม่ถูกเบียดเบียน โดยอาศัยสังโยชน์ ๑๐ เข้าเทียบ จึงจักเห็นหน้าเห็นหลังของกาย วาจา ใจ ที่ถูกเบียดเบียนอยู่ ปฏิบัติกันไปปฏิบัติกันมา หมั่นเพียรย้อนหน้า-ย้อนหลังดูอารมณ์ของจิต ดูกิริยาของวาจา ดูอาการของกายของตนเองบ้าง จักได้รู้ว่า ผลของการปฏิบัติเวลานี้ถอยหลังหรือก้าวหน้ากันแน่ และเวลานั้นจงอย่าคิดเข้าข้างตนเองเป็นอันขาด เพราะถ้าหากคิดเข้าข้างตนเองแม้แต่นิดเดียว อุปาทานก็จักเอาไปกินทันที และจักไม่เห็นความเบียดเบียนตามความเป็นจริง”
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา