ดูแบบคำตอบเดียว
  #14  
เก่า 31-05-2009, 08:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,826 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลักธรรมบางประการ

หลวงพ่อที่ดีมีชื่อเสียงนั้น มักจะมีลูกศิษย์ดี การที่มีลูกศิษย์ดีเพราะหลวงพ่อดี การที่หลวงพ่อดีก็เพราะมีหลักธรรมดี การที่จะรู้ว่ามีหลักธรรมดีก็รู้ที่การปฏิบัติของท่าน และรู้จากคำสั่งสอนของท่านที่จะออกมาจากจิตใจของท่าน มิใช่สอนคนอื่นอย่างหนึ่ง ประพฤติตนอีกอย่างหนึ่ง หลวงพ่อหรือครูอย่างนี้ไม่มีคนนับถือ แต่หลวงพ่อเงินมีคนนับถือ มีคนพูดสรรเสริญ มีคนเขียนสดุดียกย่องไว้ ก็เพราะหลวงพ่อเป็นพระดี มีหลักธรรมดีประพฤติปฏิบัติดี เป็นพระสงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ดีพร้อมทั้ง ๔ ประการ คือ

๑.สุปฏิปันโน - ประพฤติปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติเหมาะ ปฏิบัติสมกับสมณะ
๒.อุชุปฏิปันโน - ประพฤติปฏิบัติงดงามตรงตามพระธรรมวินัย น่าดูน่าชม ทุกอิริยาบถ ทุกย่างก้าวเดิน ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี ตลอดชีวิตสม่ำเสมอ ไม่บกพร่อง ไม่ขาดไม่เกิน ครบถ้วนบริสุทธิ์บริบูรณ์
๓.ญายปฏิปันโน - ประพฤติปฏิบัติด้วยความสำนึกมีสติกำกับตน รู้อยู่เสมอว่า ปฏิบัติอย่างนั้นเพื่ออะไร มีจุดมุ่งหมายอย่างไร จะได้ผลอย่างไร ไม่ใช่ปฏิบัติไปโดยงมงาย ไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไร แบบที่เรียกกันว่า เถรส่องบาตร
๔.สามีจิปฏิปันโน - ปฏิบัติด้วยความจงรักภักดีอย่างมอบกายถวายชีวิต ต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยความกตัญญู ด้วยความกตเวที ด้วยความภักดีในพระศาสนาที่ได้เข้ามาบวชดำรงชีพอยู่อย่างเป็นสุข


คำทั้ง ๔ คำนี้แหละคือคำอธิบายถึงหลวงพ่อดีอย่างหลวงพ่อเงิน เป็นคุณลักษณะพระอริยสงฆ์ หลวงพ่อเป็นพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ดีแท้ ดีจริง ไม่มีอะไรจะต้องระแวงสงสัยเลย กราบได้ ไหว้ได้ บูชาได้ เป็นปูชนียบุคคลของผู้ที่ได้พบเห็นจริง ๆ

มีหลักธรรมบางประการที่หลวงพ่อเงินนำมาอบรมภิกษุสามเณรอยู่เสมอ สมควรจะนำมากล่าวไว้เป็นตัวอย่างบางเรื่อง คือ
หลัก ๓ ประการในการปฏิบัติของภิกษุ
๑.สำรวมอินทรีย์
๒.ปลงอสุภกรรมฐาน
๓.เจริญวิปัสสนา

"ให้ระงับกาย วาจา ใจ การยืน การเดิน การนั่ง การนอน ให้สำรวมระวัง อันได้แก่การสำรวมกาย"

"การพูดจา ให้ระวัง พูดแต่น้อย พูดแต่คำสุภาพ พูดแต่คำสัตย์คำจริง คำที่เป็นคุณประโยชน์แก่ตนและเป็นคุณประโยชน์แก่ผู้อื่น ไม่พูดพล่อย ๆ ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ไม่พูดส่อเสียดยุยง ไม่พูดคำหยาบคาย ไม่พูดโป้ปดมดเท็จ ไม่พูดให้คนอื่นได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ได้แก่การสำรวมวาจา"

"สำรวมใจนั้น คือระมัดระวังใจ ไม่ให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลงมาครอบงำจิตใจ ไม่ให้ยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทั้งหลาย เช่นเห็นหญิงสาวสวยเดินมาก็มิให้มองด้วยความใคร่ พูดด้วยความยินดี คิดไปในทางก่อให้เกิดราคะดังนี้ เป็นต้น"

เรื่องปลงอสุภกรรมฐาน หรือนมัสการพระกรรมฐานด้วยคำโบราณนั้น หลวงพ่อสอนว่า
" ให้ระลึกถึงอสุภะในร่างกาย เกศา, โลมา, นะขา, ทันตา, ตะโจ อันเรียกว่าปัญจกรรมฐาน เป็นของไม่สวยงาม เน่าเปื่อย มีแต่เลือดและหนอง อุจจาระ ปัสสาวะเป็นที่อาศัยของหมู่หนอน"

เรื่องเจริญวิปัสสนานั้น หลวงพ่อสอนว่า
" ให้พิจารณาสังขาร แยกออกเป็นขันธ์ ๕ คือ รูปร่างกาย-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ อันเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ตั้งอยู่ไม่ได้นาน ไม่ใช่ตัวตน กิเลสกาม คือความรักใคร่ยินดี ตัณหาคือความทะยานอยากได้ อยากเป็น อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากมี ราคะคือความกำหนัดยินดี โทสะคือความขึ้งเคียดเดียดฉันท์ จัดว่าเป็นมารมาล้างผลาญคุณงามความดีของมนุษย์ ทำให้คนเสียคน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 31-05-2009 เมื่อ 09:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา