เมื่อพิจารณานำหลักปธาน ๔ ในพระพุทธศาสนา มาประยุกต์เข้ากับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาแล้วจะพบว่า การนำหลักสังวรปธาน และปหานปธานนี้ มาเป็นกระบวนการระงับปัญหาทุจริตคอรัปชั่นที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งเป็นวัฒนธรรมในรูปแบบเก่า เป็นกระบวนการจัดการกับสารพันปัญหาทุจริตที่เกิดขึ้น ให้สงบระงับไป
โดยยึดหลัก ๓ ประการคือ ธมฺมํ จเร สุจริตํ เป็นการเพิ่มอำนาจให้คนดี บีฑาคนชั่ว และยึดหลักให้มีความละอายชั่วกลัวบาป ไม่ยอมอดทนต่อปัญหาทุจริตต่าง ๆ อย่างนิ่งเฉย กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า สังวรปธานก็คือกัน ปหานปธานก็คือแก้ เหล่านี้ทั้งหมดถือเป็นกระบวนการระงับดับทุจริตด้วยหลักธรรมในพระพุทธศาสนา
กระบวนการต่อไปคือ กระบวนการสร้างวัฒนธรรมแห่งความสุจริต โดยใช้หลักภาวนาปธาน และอนุรักขนาปธาน ซึ่งภาวนาปธานนั้นกล่าวว่าเป็นการสร้างสรรค์ อนุรักขนาปธานนั้นก็คือรักษา แปลว่าเราต้องมีทั้งกัน ทั้งแก้ ทั้งสร้างเสริม และการรักษา ถือเป็นกระบวนการสร้างสรรค์วัฒนธรรมแบบใหม่ที่ยังไม่เกิดขึ้น ให้มี ให้เกิดขึ้น และรักษาเอาไว้ให้ได้ตลอดไป เพื่อให้เกิดสังคมที่เข้มแข็ง อุดมด้วยปัญญา ในการใช้หลักจิตพอเพียงมาต้านทุจริต ร่วมกับการพัฒนาจิตใจ
โดยการนำรูปแบบความเข้มแข็งแบบ STRONG โมเดลมาใช้ในสังคม มีหลักสุจริต ๓ คือ กายสุจริต วจีสุจริต และ มโนสุจริต สร้างเป็นเครือข่ายวัฒนธรรมแห่งความสุจริตอย่างต่อเนื่อง และสร้างพลเมืองดีที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมให้มากที่สุด ถือว่าเป็นกระบวนการสร้างวัฒนธรรมความสุจริต ด้วยหลักของภาวนาปธาน และอนุรักขนาปธาน
ด้วยประการนี้ การนำเอาหลักปธาน ๔ ในพระพุทธศาสนา มาประยุกต์รวมกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา จึงเป็นหน้าที่ของทุกคนในสังคม เพราะว่ากระบวนการทั้งสองประการ คือการระงับทุจริตด้วยหลักสังวรปธาน และปหานธาน กับกระบวนการสร้างวัฒนธรรมแห่งการสุจริต ด้วยหลักภาวนาปธาน และอนุรักขนาปธานนั้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-12-2023 เมื่อ 17:12
|