ในเมื่อเราเข้าถึงปฐมฌานละเอียด สติ สมาธิ จะเกิดความแคล่วคล่องว่องไว สามารถประคับประคองอารมณ์เอาไว้ไม่ให้สูญหายไม่ให้ตกหล่น เมื่อท่านทั้งหลายสามารถประคับประคองอารมณ์นี้เอาไว้ได้ ยิ่งนานเท่าไรความสงบเยือกเย็นในใจก็ยิ่งมีมากเท่านั้น ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใดง่าย ๆ ก็แปลว่ากำลังใจของเราจะเข้มแข็งมั่นคง เมื่อกำลังใจเข้มแข็งมั่นคง ไม่ฟุ้งซ่านหวั่นไหว ปัญญาก็จะเกิด จะเห็นช่องทางว่า ในขณะนี้เราควรจะทำอย่างไรถึงจะดีที่สุดสำหรับสถานการณ์นั้น ๆ
จึงเป็นหน้าที่ซึ่งท่านทั้งหลายต้องพยายามในการกำหนดภาวนา โดยใช้ลมหายใจเข้าออกควบคู่กับคำภาวนาที่เราถนัด โดยเฉพาะอย่าเปลี่ยนคำภาวนาบ่อย เมื่อเราเริ่มเคยชินกับคำภาวนาอย่างหนึ่ง พอไปเปลี่ยนสภาพจิตก็จะห่วงหน้าพะวงหลัง ของเก่าก็จะไม่ได้ ของใหม่ก็จะไม่ดี ท่านเคยถนัดเคยชำนาญอย่างไหน ใช้คำภาวนาอย่างไรที่ทำให้สภาพจิตของเรานิ่งได้สงบได้ ให้ใช้อย่างนั้น ให้ทำอย่างนั้น เพราะว่าจุดมุ่งหมายของเราก็คือ เมื่อจิตสงบ สมาธิบังเกิด ปัญญาก็จะมีตามไปเอง ถึงเวลาเราก็จะรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรในแต่ละสถานการณ์ ถึงจะเกิดประโยชน์ที่สุด ถึงจะพอเหมาะพอดีพอควรที่สุด
โดยเฉพาะสภาพจิตไม่หวั่นไหวไปกับ รัก โลภ โกรธ หลง ก็ทำให้เรามีความสงบ ความเยือกเย็น ความสุข เกิดแก่เราได้ ตราบใดที่ยังไม่หลุดจากสมาธิ ตราบนั้นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ยังทรงตัวอยู่กับเรา
ลำดับต่อไปให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-02-2019 เมื่อ 02:16
|