ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 10-08-2020, 19:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,511
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,945 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องของสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานเหมือนกับคนที่ถูกผูกขาติดกัน ต้องผลัดกันก้าวไปทีละข้างจึงจะก้าวหน้าไปได้ แต่พวกเราทั้งหลายส่วนใหญ่แล้วถนัดในสมถกรรมฐาน เมื่อจับลมหายใจเข้าออก ภาวนาไปจนเต็มที่ สภาพจิตไม่สามารถที่จะทรงฌาณ ทรงสมาบัติ หรือว่าทรงสมาธิต่อไปได้ ก็จะเคลื่อนจะคลายออกมา แล้วเราก็ไม่หางานให้จิตทำ ก็คือไม่หาวิปัสสนาญาณมาขบคิด ไม่พยายามมองให้เห็นความเป็นจริงในร่างกายนี้ ไม่พยายามมองให้เห็นความเป็นจริงในโลกนี้ ว่ามีการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป การทนอยู่ของเราก็มีแต่ความทุกข์ และท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้ มีแต่เสื่อมสลาย ตาย พัง ไปทั้งสิ้น

ในเมื่อเราไม่ยอมขบคิดเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ยอมพิจารณาเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อถึงเวลาสมาธิดำเนินต่อไปไม่ได้ เราก็เลิก เมื่อเราเลิก กำลังสมาธิที่เราทำได้ ไม่ได้ถูกนำไปใช้งานให้เกิดปัญญา ก็จะโดนกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง นำเอากำลังสมาธิไปฟุ้งซ่าน ก็จะฟุ้งกันอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการ บางคนก็สมาธิพังไปเป็นเดือน ๆ เพราะว่าเราไปเปิดโอกาสให้กับกิเลสเอง

ดังที่อาตมาเคยเปรียบเทียบเอาไว้ว่า เหมือนกับเลี้ยงโจรเอาไว้ปล้นเราเอง ก็คือการที่เราสร้างกำลังสมาธิเอาไว้ แล้วไม่ได้นำไปใช้งาน โดนกิเลสขโมยเอาไปใช้ ไปฟุ้งซ่าน ไป รัก โลภ โกรธ หลง ก็เท่ากับว่าเอากำลังที่เราทำได้ ย้อนกลับมาทำร้ายตัวของเรา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-08-2020 เมื่อ 01:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา