๑๗. ชาวต่างชาติบางคนวิจารณ์ไว้ว่า พุทธศาสนาเป็น negative จึงเท่ากับตู่พุทธศาสนาเพราะเขายังมีอารมณ์ยึดถูกและผิด (positive และ negative) ยึดดี ยึดเลว หรือยึดสมมุติทางโลกอยู่ จิตจึงมีอคติ ๔ (ความลำเอียง ๔) จึงมองไม่เห็นตัวอัพยากตธรรมหรือสายกลาง หรืออุเบกขา หรืออทุกขมสุขเวทนา
๑๘. บางคนแปลสุญตาว่า ความว่างเปล่า เลยจัดพุทธศาสนาเป็นมิจฉาทิฏฐิไป คือ พวกจัดพุทธศาสนาเป็น negative ความจริงแล้ว positive หรือ negative ถูก-ผิดนั้นเป็นอุปาทานชนิดหนึ่ง ซึ่งทางพุทธให้ละเสีย จึงจะหลุดพ้นได้
๑๙. พวกนิกายเซ็นของมหายาน จึงสอนเรื่องจิตว่างห้ามคิด ห้ามปรุง ถือยึดความว่างเป็นของวิเศษ มองกิเลสก็เป็นอนัตตาเพราะจิตว่าง ไม่ใช้ศีล-สมาธิ-ปัญญาฆ่ากิเลส คิดเอาเองว่าความว่างฆ่ากิเลสได้ (**)
๒๐. หมวดธรรมที่สำคัญ ๆ ในพุทธศาสนา เช่น หมวดอริยสัจ, หมวดอริยมรรคมีองค์ ๘, หมวดสิกขาสาม, หมวดไตรลักษณ์, หมวดปฏิจสมุปบาท, หมวดหัวใจพุทธศาสนา (โอวาทปาฎิโมกข์) หมวดเหล่านี้ก็ยังมองกันคนละแง่ละมุม ไม่ลงรอยกันเป็นเพราะ
ก) ถือเอาความหมายของคำนั้น ๆ ผิด
ข) ถือเอาความหมายบางคำผิด ทำให้ผิดจุดประสงค์เดิมไปเลย (ขาวเป็นดำ-ดำเป็นขาว)
ค) พวกฉงน สงสัย ยิ่งมีมากเท่าไร ยิ่งเขียนคำอธิบายเพิมเติมมาก ก็ยิ่งไกลความจริงออกไป
ง) พวกหลงผิด เข้าป่าไปเลย
จ) แม้อภิธรรมก็เช่นกัน ตัวอย่างหมวดปฏิจสมุปบาท
เพราะเขาจับหลักยังไม่ได้ (มีภูมิจิต มีภูมิธรรม หรือบารมีแค่ไหนก็รู้ได้แค่นั้น)
๒๑. หลวงปู่ไวยสรุปว่า ไม่ต้องไปศึกษาเรื่องอะไร นอกจากเรื่องตัวกู-ของกู (ท่านหมายถึงให้พิจารณาขันธ์ ๕ หรือร่างกายหรือสักกายทิฐิข้อเดียวพอ แต่ข้อนี้พระพุทธเจ้าเลือกสอนแต่เฉพาะพวกพุทธจริต พวกดอกบัวพ้นน้ำแล้วหรืออุคติตัญญูเท่านั้น)
หมายเหตุ : ผมได้รับหนังสือเล่มนี้ในงานวันเกิดของหลวงปู่ไวย ในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ได้อ่านแล้ว ๓ จบ เห็นว่ามีประโยชน์มากสำหรับพุทธบริษัท จึงได้บันทึกย่อไว้ เมื่อนำมาอ่านใหม่เมื่อวันที่ ๒ มิ.ย. ๒๕๔๙ เห็นว่ามีประโยชน์มากสำหรับผู้ขี้เกียจอ่านหนังสือ และผู้ที่ยังมีพื้นฐานของพระธรรมในพุทธศาสนาน้อย มีโมหะจริตและศรัทธาจริตสูง คือ เชื่อง่ายโดยขาดปัญญาทางพุทธ สนใจแต่ปริยัติแต่ไม่ค่อยจะปฏิบัติ จึงยังรู้ไม่จริง-รู้ไม่ตรงตามความเป็นจริง ในคำสั่งสอนของพระองค์ของจริงอยู่ที่ผล มิใช่อยู่ที่ตำรา จึงขอให้ท่านผู้อ่านกรุณาอ่าน แล้วใช้ปัญญาคิด-พิจารณาตามธรรมะที่หลวงปู่ไวยท่านเขียนไว้ ผมย่อเอาความสำคัญแยกออกเป็นหัวข้อไว้ ๒๑ ข้อ เมื่อท่านได้ศึกษาตามหลักฐานที่หลวงปู่ไวยท่านเขียนไว้เข้าใจแล้ว
ท่านก็จะแยกได้ว่า สิ่งใดเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า และสิ่งใดเป็นคำสอนของท่านอื่น (**) หรือสิ่งไหนเป็นพุทธ สิ่งไหนเป็นเซ็น อันไหนเป็นสัมมาทิฏฐิ อันไหนเป็นมิจฉาทิฏฐิ ให้ท่านพิจารณาใคร่ครวญด้วยตัวของท่านเอง ขอให้ผู้อ่านทุกท่านจงโชคดี
หมายเหตุ (**) มีการแก้ไขตามความเห็นสมควรของผู้พิมพ์
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2010 เมื่อ 15:29
|