ดูแบบคำตอบเดียว
  #1  
เก่า 27-11-2012, 22:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,667 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๕

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ ตามแต่ที่เรามีความถนัด

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันที่สองของเดือนนี้..วันนี้มีบุคคลถามปัญหาว่า การที่เราสนใจจริยาผู้อื่นนั้น มีขอบเขตเพียงใด ? การสนใจในจริยาของผู้อื่นนั้นส่วนใหญ่แล้วจะก่อให้เกิดรัก โลภ โกรธ หลง ขึ้นในใจของพวกเรา

สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงย้ำนักย้ำหนาว่า อย่าสนใจจริยาของคนอื่น ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แต่ในเมื่อญาติโยมสงสัยจึงได้ให้คำอธิบายไปว่า บุคคลบางประเภทก็ต้องสนใจในจริยาของคนอื่น บุคคลบางประเภทห้ามสนใจในจริยาของคนอื่นอย่างเด็ดขาด

บุคคลที่ต้องสนใจในจริยาของคนอื่น อย่างเช่น ผู้บังคับบัญชา ถ้าไม่สนใจจริยาความประพฤติของผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่มีการว่ากล่าวตักเตือนเมื่อเขาทั้งหลายเหล่านั้นทำผิด ก็อาจจะสั่งสมจนกลายเป็น สันตานานุสัย ที่ฝังรากลึกอยู่ในใจของแต่ละคน ก่อให้เกิดผลร้าย และอาจจะถึงขนาดทำให้หน่วยงานนั้น ๆ พังทลายลงไปได้

ดังนั้น..บุคคลที่เป็นผู้บังคับบัญชา อย่างเช่น ผู้บังคับบัญชาหน่วยทหาร เจ้าอาวาส ผู้อำนวยการ ผู้จัดการ หรือหัวหน้าคนงานเหล่านี้ จำเป็นต้องสนใจจริยาของผู้อื่น แต่ต้องไม่ประกอบไปด้วยอคติทั้ง ๔ คือ ต้องไม่ลำเอียงเพราะรัก (โลภ) ลำเอียงเพราะโกรธ ลำเอียงเพราะกลัว ลำเอียงเพราะหลง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-11-2012 เมื่อ 03:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา