พระปัจเจกพุทธเจ้า
พุทธะ อันหมายถึง
ผู้รู้ นั้นมีอยู่ ๔ แบบด้วยกัน คือ
๑.
สุตตพุทธะ คือ พระผู้เป็นพหูสูตร
๒.
จตุสัจจพุทธะ คือ พระอรหันตขีณาสพ บางทีก็เรียกว่า
อนุพุทธะ
๓.
ปัจเจกพุทธะ คือ พระผู้สร้างบารมีมาอย่างน้อย ๒ อสงไขยกำไรแสนกัปจนบรรลุพระปัจเจกพุทธภูมิ
๔.
สัมมาสัมพุทธะ คือ พระผู้สร้างบารมีมาอย่างน้อย ๔ อสงไขยกำไรแสนกัปจนบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ในที่นี้จะกล่าวถึงแต่เฉพาะ
พุทธ แบบที่สาม คือ พระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้น
พระปัจเจกพุทธเจ้าจะปรากฏในช่วงที่โลกว่างจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ว่าจะตรัสรู้คราวละเป็นพันเป็นหมื่นองค์ แต่พระองค์ก็
ตรัสรู้เป็นการเฉพาะของตนเท่านั้น ไม่ได้สั่งสอนบุคคลทั่วไปให้บรรลุตาม
นอกจากบุคคลที่เคยตั้งความปรารถนาในพระปัจเจกโพธิญาณมา เมื่อเข้าไปหาพระองค์ท่าน จึงจะได้รับการสั่งสอนให้บรรลุตามความปรารถนาของตน ที่เรียกพระองค์ว่า
ปัจเจกพุทธะ แปลว่า
ผู้รู้เฉพาะตน ก็ด้วยเหตุนี้เอง
พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ทรงพระคุณอันยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ขาด
พระสัพพัญญุตญาณ (พระญาณอันรู้รอบในทุกสรรพสิ่ง) เท่านั้น เมื่อบรรลุพระปัจเจกโพธิญาณแล้ว มักจะพำนักอยู่ ณ เงื้อมผานันทมูลกะแห่งยอดเขาคันธมาทน์
เนื่องจากพระองค์ท่านปรารถนาการรู้เฉพาะตน คือต้องการตรัสรู้เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ได้ปรารถนาจะสั่งสอนผู้ใด พระองค์จึงมักจะ
เข้านิโรธสมาบัติ แล้วเสด็จไปโปรดผู้ที่วาระของบุญจะส่งผลในช่วงนั้น
ครุกรรม(กรรมอันหนักยิ่ง)ในฝ่ายกุศลอย่างหนึ่ง ที่ทำแล้วปรากฏผลอย่างทันใจนั้น คือการได้ทำบุญกับพระผู้ออกจากนิโรธสมาบัติ ผลบุญนั้นจะส่งให้ร่ำรวยภายในวันนั้นเลย ดังนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าจึงกลายเป็นผู้บันดาลความร่ำรวยในสายตาของบุคคลทั่วไป
หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ธุดงค์ลงไปทางปักษ์ใต้ เมื่อถึงนครศรีธรรมราช ไปได้
คาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์มาจาก
ครูผึ้ง นำมาสงเคราะห์ลูกศิษย์จนได้ผลเป็นที่เลื่องลือ ผู้ที่ทำพระคาถานี้ได้ผลชัดเจนที่สุด คือ
นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ ตำบลท่าเตียน จังหวัดพระนคร
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง ได้นำพระคาถานี้มาถ่ายทอดแก่บรรดาลูกศิษย์ ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงประทานพระคาถาเพิ่มขึ้นอีกหลายบท จนพัฒนามาเป็น
พระคาถาเงินล้าน ให้หลวงพ่อได้ใช้สร้างวัดท่าซุง จนใหญ่โตสวยงามอย่างที่เห็นในทุกวันนี้
คณะศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อวัดท่าซุง จึงได้พึ่งพระพุทธบารมีมาโดยตลอด แต่ก็หาได้มีผู้หนึ่งผู้ใด คิดทำการตอบแทนอย่างเป็นรูปธรรมไม่ จนกระทั่งวันหนึ่ง
คุณแม่อ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) ได้ปรารภกับ
หลวงตาวัชรชัยสมัยยังไม่ได้บวชว่า
พวกเราลูกศิษย์สายหลวงพ่อ ตกเป็นหนี้พระคุณของพระปัจเจกพุทธเจ้า เจ้าของพระคาถาเงินล้าน อย่างชนิดไม่มีอะไรจะทดแทนได้ ถ้าเธอยังไม่ตาย
ขอให้ได้สร้างรูปของพระองค์ท่าน ให้ปรากฏแก่ชาวโลกเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาให้ได้
หลวงตาวัชรชัยเก็บเอาคำปรารภของคุณแม่อ๋อยไว้นานหลายปี จนกระทั่งวันเข้าพรรษา ปี ๒๕๓๑ ท่านจึงได้เอ่ยเรื่องนี้กับพระพี่พระน้องในวัดท่าซุงหลายรูป ซึ่งทุกรูปก็มีความเห็นร่วมกันว่า ต้องสร้างรูปพระปัจเจกพุทธเจ้าเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาให้ได้
ประกอบกับการเห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้เหนื่อยยากตรากตรำในภาระ หน้าที่ต่าง ๆ ที่กระทำเพื่อพระพุทธศาสนา
อยากจะช่วยแบ่งเบาภาระของท่าน จึงได้วางแผนงานกันใหญ่โต หากสำเร็จ
จะมีเงินถวายเป็นกองทุนภัตตาหารพระ ๒๔ ล้านบาท