ดูแบบคำตอบเดียว
  #6  
เก่า 02-06-2023, 00:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,340 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อย่างน้อย ๆ กูก็ชนะไป ๑ ใน ๓ กาย วาจา ใจ ไม่ได้ชั่วทั้งหมด ถ้าห้ามปากตัวเองได้ด้วยกูก็ชนะไปสอง ก็เหลืออย่างเดียวก็คือใจอยากคิด ปล่อยให้คิดไป เราตามดูไปเรื่อย ๆ อยากจะคิดได้นานแค่ไหน ? กำลังใจของเราเหมือนกับกลัวคนรู้ทัน พอตามดูว่ามึงจะชั่วได้เท่าไร ก็ไปได้แค่พักเดียว หมดอารมณ์ ยอมให้เราดึงกลับมาอยู่กับการภาวนา

ดังนั้น..เวลาที่เรากำลังชั่วเป็นเวลาที่ควรเข้าวัดมากที่สุด อย่ารอให้ดีแล้วค่อยมา เพราะว่าดีแล้วค่อยมา พระก็ไม่รู้ว่าจะช่วยตรงไหน เพราะว่าเราดีแล้ว

ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นธรรมดาของโลก ทุกคนมีอยู่แล้ว เพียงแต่ทำอย่างไรจะตีกรอบให้ทำอันตรายเราให้ได้น้อยที่สุด ถ้าหากว่าพลาดก็เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ เหมือนอย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยบอกเอาไว้เสมอว่า ถ้าคนสองคนเดินมาพร้อมกัน หกล้มพร้อมกัน คนหนึ่งลุกขึ้นแล้วเดินต่อไปเลย อีกคนหนึ่งมัวแต่นั่งคร่ำครวญอยู่นั่นแหละ เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน เดินมาตั้งไกลไม่น่าจะล้มเลย สองคนนี้ใครจะไปถึงที่หมายก่อนกัน ? ก็คือบุคคลที่ล้มแล้วลุกไปต่อเลย

ก็แปลว่า แม้แต่การทำดีเรายังต้องหน้าด้าน หน้าทน สู้ทำไป อย่าไปเศร้าหมองกับสิ่งทั้งหลายที่เป็นธรรมดาโลก ไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิด แต่ผิดแล้วรีบแก้ไขให้ถูก ผิดแล้วรีบตั้งหน้าตั้งตาเริ่มต้นใหม่

พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราโกรธใคร เกลียดใคร แต่ท่านสอนธรรมเพื่อนำเราให้พ้นทุกข์ ท่านไม่ได้มีหน้าที่มาตราหน้าว่าเราชั่วเหลือเกิน เพราะว่าในสายตาของพระ ไม่มีคนดี ไม่มีคนชั่ว มีแต่คนที่กำลังเป็นไปตามกรรม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-06-2023 เมื่อ 02:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา