การปฏิบัติธรรมนอกจากต้องเอาจริงเอาจังแล้ว ยังต้องทบทวนไตร่ตรองอยู่เสมอ ๆ พระพุทธเจ้าสอนหลักวิมังสาในอิทธิบาทให้เรามาสองพันกว่าปีแล้ว ฝรั่งเอาไปเป็นทฤษฎีตัวสุดท้าย ก็คือการสรุปและประเมินผล
เราได้ลองสรุปและประเมินตัวเองบ้างหรือไม่ว่า วินาทีแรกที่เข้ามาปฏิบัติธรรม โดยจุดมุ่งหมายหวังความก้าวหน้าและปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น มาถึง ณ วันนี้ เวลานี้ สิ่งที่เราทำนั้น เราทำไปถึงไหนแล้ว ? ยังตรงต่อเป้าหมายเหมือนเดิมอยู่หรือไม่ ? ยังเหลืออีกมากน้อยเท่าไรที่เราต้องเพียรพยายามทำไปให้ถึง ? ครูบาอาจารย์ตายไปกี่รูปแล้ว เราเองยังเอาดีไม่ได้เสียที แล้วถ้าเราตายไปโดยที่เอาดีไม่ได้ ต้องเกิดอีกกี่ชาติถึงจะเอาดีกันได้ ?
คำว่า “กล่าวโทษโจทย์ตนเอง” ของพระพุทธเจ้าท่าน อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า “ถ้าหากว่าหาความผิดไม่ได้ ก็ให้สรุปลงที่ว่าเราผิดตั้งแต่เกิดมาแล้ว” เพราะถ้าเราไม่เกิดมา ก็ไม่ต้องมาเจอกับเรื่องทั้งหลายแบบนี้ ในชีวิตของเราส่วนใหญ่แล้วทำชั่วมากกว่าทำดี ขนาดความชั่วเรายังตั้งหน้าตั้งตาทำด้วยความสนุกสนาน ด้วยความจริงจัง แล้วทำไมถึงเวลาทำความดีเราถึงตั้งหน้าตั้งตาทำอย่างนั้นบ้างไม่ได้ มัวแต่รอครูบาอาจารย์ท่านมาสั่งสอน มาจ้ำจี้จ้ำไชอยู่ ถ้าหากว่าครูบาอาจารย์ล่วงลับไปอีกแล้วเราจะพึ่งใคร ?
พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า “จงมีตนเองเป็นเกาะ จงมีตนเองเป็นที่พึ่ง จงมีตนเองเป็นฝั่ง” คือถ้ามีตัวเองเป็นที่พึ่ง อาศัยตนเองได้ก็ยังพอเอาตัวรอดในวัฏสงสารได้ แต่ที่พระองค์ท่านสรรเสริญมากที่สุดก็คือสามารถก้าวขึ้นสู่ฝั่ง ล่วงพ้นจากทะเลทุกข์ได้ การยืน เดิน นั่ง นอน ตลอดชีวิตของเรา อยู่ในกองทุกข์ที่แผดเผาอยู่ตลอดเวลา แล้วยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่าตอนนี้เราทุกข์แค่ไหน ? แล้วไม่คิดที่จะดิ้นรนเพื่อที่จะหนีให้พ้นใช่หรือไม่ ? ถ้าดิ้นรนเพื่อที่จะหนีให้พ้น เราได้กระทำอย่างจริงจังแล้วหรือไม่ ?
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-08-2015 เมื่อ 12:35
|