ถ้าหากว่าเราดูในอาทิตตปริยายสูตร พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ ไฟทั้งหลายเหล่านี้เผาเราอยู่ทุกวัน แต่ทันทีที่เราทรงสมาธิได้ เราจะสามารถดับไฟเหล่านี้ได้ชั่วคราวครับ เมื่อเราดับไฟเหล่านี้ได้ชั่วคราว ความสุขจะเกิดขึ้นกับเราอย่างชนิดที่พูดเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้ คนที่โดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา แล้วอยู่ ๆ ไฟดับลงนี่ สบายอย่างไร เราบอกไม่ถูกนะครับ
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แหละครับ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมีปัญญาอยู่บ้าง เราจะรู้สึกเลยว่า ตัวเราที่เป็นปุถุชนหนาไปด้วยกิเลส แค่เข้ามาแค่ผิว ๆ สะเก็ดของพระพุทธศาสนาแค่นั้น ยังมีความสุขขนาดนี้ แล้วคนที่เขาทรงฌาน ทรงสมาบัติได้เป็นปกติ จะมีความสุขขนาดไหน ?
บุคคลที่เหนือไปกว่านั้นอีก อย่างพระโสดาบัน เป็นต้น พระโสดาบันพ้นจากนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานอย่างแน่นอนแล้ว ไม่ต้องหวาดกลัวภัยจากอบายภูมิทั้งหลายนี้แล้ว ท่านจะมีความสุขขนาดไหนครับ ?
พระสกทาคามีที่ทำให้ รัก โลภ โกรธ หลง เบาลง จะยิ่งมีความสุขขนาดไหน ?
พระอนาคามีที่ตัดราคะ ตัดโทสะได้อย่างเด็ดขาด ไม่กำเริบแล้ว จะมีความสุขขนาดไหนครับ ?
ท้ายที่สุด พระอรหันต์ที่ท่านไม่เอาอะไรแล้วครับ ภาระทุกอย่างปล่อยวางลงได้โดยสิ้นเชิง ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ?
แล้วพระพุทธเจ้าที่เป็นจอมอรหันต์ละครับ ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ?
แค่ใช้ปัญญาคิดนิดเดียวนี่แหละครับ เราก็จะเห็นว่าคุณของพระพุทธศาสนา คุณของการถือศีลปฏิบัติธรรมนี้มากมายมหาศาลเกินกว่าที่จะพรรณาได้ ไม่ใช่เรื่องที่มาบังคับให้เราต้องทุกข์ต้องยาก ไม่ใช่ถึงเวลา ๑๐ วันของการปฏิบัติธรรม เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น แต่ว่านั่นคือโอกาสทองของเราครับ
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2021 เมื่อ 03:30
|