ดูแบบคำตอบเดียว
  #7  
เก่า 18-10-2023, 21:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,638
ได้ให้อนุโมทนา: 151,906
ได้รับอนุโมทนา 4,415,157 ครั้ง ใน 34,228 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้รับผ้าคหปติจีวร ก็คือจีวรที่ญาติโยมมีศรัทธาถวาย เริ่มตั้งแต่นางวิสาขามหาอุบาสิกา เห็นพระท่านไม่มีผ้าจะเปลี่ยน อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็สนับสนุนด้วย ก็จึงถวายคหปติจีวร พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้รับได้ แต่รับได้ชุดเดียว เกินกว่านั้นถ้ารับมาต้องสละเป็นของกลาง หรือไม่ก็ทำวิกัปเป็นสองเจ้าของร่วมกับคนอื่น กันพระสะสมเอาไว้แล้วจะรู้สึกว่าตัวเองร่ำรวย เพราะว่าสมัยก่อนเรื่องข้าว เรื่องผ้า เขาถือเป็นทรัพย์สมบัติอย่างหนึ่ง

ใครที่เรียนตำราประวัติศาสตร์เก่า ๆ จะได้ยินคำว่าเบี้ยหวัดผ้าปี ก็คือพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ จะมีเงิน แล้วก็ผ้าที่ปีหนึ่งให้ ๑ ชุด ๒ ชุด หรือผ้าพับ ๑ พับ ๒ พับ ก็แล้วแต่ และถ้าหากว่าใครทำความดีก็มีการให้รางวัลเป็นผ้า เป็นต้น

อานิสงส์ของผู้ถวายผ้า ถ้าหากว่าเราไปเป็นเทวดา นางฟ้า จะมีเครื่องประดับเป็นทิพย์ทันทีเลย ถ้าหากว่าเป็นอาหารก็จะอิ่มทิพย์ไม่ต้องกิน

ถ้าหากว่าเป็นพระพุทธรูปก็จะมีรัศมีกายสว่างมาก เรื่องของพระ เรื่องของพรหม เรื่องของเทวดา เขาวัดกันตรงรัศมี ใครสว่างกว่าก็แปลว่ามีบุญมากกว่า


ในส่วนของปัจจัยก็คือเงินที่จะมาเข้ากองผ้าป่าของเรา อันดับแรกเลย เราถือว่าเงินเป็นแก้วสารพัดนึก อยากได้อะไรสามารถเปลี่ยนได้ด้วยเงิน อานิสงส์ตรงนี้ทำให้เรามีความคล่องตัวในทุกเรื่อง

ประการที่สอง เราเอาเข้ากองทุนการศึกษา เรื่องของการศึกษาคือธรรมทาน พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ" การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง ก็คือเป็นทานสูงสุดในพระพุทธศาสนาของเรา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2023 เมื่อ 02:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา